“ทรงเยียวยารักษา” God’s Healing
https://www.youtube.com/watch?v=fYFdaH4wiuw
ศักเคียสไม่ใช่คนเก็บภาษีคนแรกที่พระเยซูทรงปฏิสัมพันธ์ด้วย ในการทรงเรียกสาวกสิบสองคน พระเยซูทรงเรียกมัทธิวคนเก็บภาษี และพระองค์ทรงใช้เวลาด้วยการไปรับประทานอาหารที่บ้านของเขา พระเยซูทรงทำเช่นนี้มาตั้งแต่แรก
มัทธิว 9:9-13 9 เมื่อพระเยซูเสด็จเลยตำบลนั้นไป ก็ทอดพระเนตรเห็นคนหนึ่งชื่อมัทธิวนั่งอยู่ที่ด่านภาษี จึงตรัสกับเขาว่า “จงตามเรามาเถิด” เขาก็ลุกขึ้นตามพระองค์ไป 10 เมื่อพระองค์ประทับและเสวยอาหารอยู่ในบ้าน มีคนเก็บภาษีและคนบาปอื่นๆ หลายคน เข้ามาร่วมรับประทานอาหารกับพระเยซู และกับบรรดาสาวกของพระองค์11 เมื่อพวกฟาริสีเห็นแล้ว ก็กล่าวกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “ทำไมอาจารย์ของพวกท่านจึงรับประทานอาหารด้วยกันกับพวกคนเก็บภาษี และพวกคนบาป?”12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ13 ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”
ในการใช้เวลาของพระเยซูคริสต์กับคนที่สังคม รังเกียจ จึงมักจะถูกตำหนิจากคนเหล่านั้น ด้วยการตั้งคำถามเชิงตำหนิพระเยซูไปด้วย พระเยซูคริสต์จึงทรงตอบคำถามเชิงตำหนินั้น
12 เมื่อพระเยซูทรงได้ยินแล้วก็ตรัสว่า “คนแข็งแรงไม่ต้องการหมอ แต่คนเจ็บป่วยต้องการ13 ท่านจงไปเรียนความหมายของคัมภีร์ข้อนี้ ที่ว่า ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”
ความหมายของคำว่า คนเจ็บป่วย ไม่ใช่คนที่ป่วยทางร่างกาย แต่ป่วยทางฝ่ายจิตวิญญาณ ทำให้ชีวิตของคนเหล่านี้ทำบาป คนเก็บภาษีในยุคของพระเยซูคริสต์สองพันกปีที่แล้ว มักจะเป็นบุคคลที่สังคมยิวเวลานั้นรังเกียนจ เพราะถือว่าเป็นสุนัขรับใช้ของอาณาจักรโรม และคนเก็บภาษีต้องทำหน้าที่เก็บเงินภาษีส่งให้ทางการโรม ระบบการเก็บภาษีของทางโรมก็เปิดช่องให้คนเก็บภาษีมีโอกาสได้ประโยชน์จากการทำหน้าที่นี้ คือการโกง และยักยอก อย่างที่เราได้ชมในภาพยนต์ที่ศักเคียสคนเก็บภาษีได้สารภาพถึงการที่ทำหน้าที่เก็บภาษีของตนเอง มีการโกงเงินด้วย และเขาได้กลับใจใหม่ นำเงินที่โกงคืนให้เจ้าของ และบริจาคเงินที่มีกึ่งหนึ่งให้กับคนยากจน ภาษาของคนในยุคปัจจุบัน ก็คือ คืนกำไรให้กับสังคม
นี่คือคนป่วยฝ่ายจิตวิญญาณที่ได้รับการเยียวยารักษาจากภายใน เป็นการรู้สึกด้วยตัวของคนๆนั้นเองที่ต้องการจะทำสิ่งที่ดี สิ่งที่ถูกต้อง ชอบธรรม พระเยซูทรงยกข้อพระคัมภีร์ที่ว่า….. ‘เราประสงค์ความเมตตา ไม่ประสงค์เครื่องสัตวบูชา’ ด้วยว่าเราไม่ได้มาเพื่อเรียกคนชอบธรรม แต่มาเรียกคนบาป”
ทรงเยียวยารักษา เกิดขึ้นกับคนที่ใช้เวลากับพระเยซูคริสต์ ซึ่งพระองค์มักจะใช้คำว่า พระองค์จะไปร่วมรับประทานอาหารด้วย และในพระคัมภีร์วิวรณ์ ได้กล่าวถึงเป้าหมายของพระเยซูคริสต์คือการเสด็จเข้าไปในชีวิตของคนทุกๆคน
วิวรณ์ 3:20 20 นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู ถ้าผู้ใดได้ยินเสียงของเราและเปิดประตู เราจะเข้าไปหาผู้นั้นและจะรับประทานอาหารร่วมกับเขา และเขาจะรับประทานอาหารร่วมกับเรา
พระเยซูคริสต์ทรงต้องการที่จะนำการเปลี่ยนแปลงเข้าไปในชีวิตภายในของทุกคน ที่เปิดประตู(ใจ) ต้อนรับพระองค์ และพระองค์จะใช้เวลากับคนๆนั้น (รับประทานอาหารร่วมกัน) นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงชีวิตภายใน) คนๆนั้นจะไม่เหมือนเดิม หลุดจากพันธนาการของสิ่งที่เป็นบาป ทั้งหลาย สำนึกและกลับใจใหม่ได้ด้วยตัวเอง ไม่ต้องมีใครบอก เป็นการเปลี่ยนแปลงชีวิตชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ (เท้า) อย่างที่ศักเคียสถูกกล่าวถึงว่า เป็นไปไม่ได้ ที่คนเก็บภาษี ที่งก และขี้โกง จะยอมเลิกนิสัยงกเงิน และขี้โกง
ทรงเยียวยารักษา ทำให้เกิดความถ่อมใจแท้ที่พระเจ้ายอมรับ พระเยซูคริสต์ทรงสอนด้วยคำอุปมาเรื่องเก็บภาษีกับฟาริสี
ลูกา 18:9-14 9 สำหรับบางคนที่ไว้ใจในตัวเองว่าเป็นคนชอบธรรม และได้ดูหมิ่นคนอื่นนั้น พระองค์ตรัสคำอุปมานี้ว่า10 “มีสองคนขึ้นไปอธิษฐานในบริเวณพระวิหาร คนหนึ่งเป็นพวกฟาริสีและคนหนึ่งเป็นพวกเก็บภาษี11 คนฟาริสีนั้นยืนนึกในใจของตน อธิษฐานว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์โมทนาขอบพระคุณของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เหมือนคนอื่น ซึ่งเป็นคนโลภ คนอธรรม และคนล่วงประเวณี และไม่เหมือนคนเก็บภาษีคนนี้12 ในสัปดาห์หนึ่งข้าพระองค์ถืออดอาหารสองหน และของสารพัดซึ่งข้าพระองค์หาได้ข้าพระองค์ได้เอาสิบชักหนึ่งมาถวาย’13 ฝ่ายคนเก็บภาษีนั้นยืนอยู่แต่ไกล ไม่แหงนดูฟ้า แต่ตีอกของตนว่า ‘ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงโปรดพระเมตตาแก่ข้าพระองค์ผู้เป็นคนบาปเถิด’14 เราบอกท่านทั้งหลายว่า คนนี้แหละเมื่อกลับลงไปยังบ้านของตนก็นับว่าชอบธรรม มิใช่อีกคนหนึ่งนั้น เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ได้ถ่อมตัวลงจะต้องถูกยกขึ้น”
ความถ่อมตัวถ่อมใจที่แท้จริง ไม่ได้ตัดสินกันที่การแสดงภายนอกที่ทำทีว่า อ่อนน้อมถ่อมตน แต่ตัดสินจากภายในโดยพระเจ้า สังเกตว่า พระคัมภีร์มักจะใช้คำว่า พระเจ้าจะเป็นผู้ยกคนที่ถ่อมตัวถ่อมใจ มิใช่มนุษย์เป็นผู้ยกขึ้น
ยากอบ 4:10 10 ท่านทั้งหลายจงถ่อมใจลงต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และพระองค์จะทรงยกชูท่านขึ้น
2โครินธ์ 19:18 18 เพราะว่าคนที่ยกย่องตัวเองจะไม่ได้รับการรับรอง แต่คนที่พระเจ้าทรงยกย่องต่างหากจะได้รับ
คนเก็บภาษี ในตอนนี้ ตระหนักว่าตนเองเป็นคนบาป และต้องการพระเมตตาจากพระเจ้า การสำนึกว่าตนเองเป็นคนบาป คือการต้องการความช่วยเหลือ (ช่วยตัวเองไม่ได้)นี่คือท่าทีถ่อมตัวลง ในขณะที่ฟาริสียืนต่อหน้าพระเจ้าด้วยการพึ่งพากำลังของตนเองในการสร้างความชอบธรรมให้กับตนเอง และยังดูหมิ่นคนอื่น(คนเก็บภาษี)ที่อยู่ใกล้ๆเข้าด้วย
มีคำพูดหนึ่งกล่าว่า คนเราจะไม่ทำความสะอาดตนเอง หากเขาไม่คิดว่าตนเองสกปรก แต่คนที่ยอมรับว่าตนเองสกปรก เขาก็จะทำความสะอาดตนเอง ในขณะที่คนที่คิดว่าตนเองสะอาดตลอดเวลา นั่นแหล่ะสกปรกสุดๆ ดังเช่นที่ พระเยซูทรงเปรียบเทียบฟารีสีเหมือนกับ หลุมศพที่ฉาบไว้ด้วยปูนขาว
มัทธิว 23:25,27-28 25 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส26 โอ พวกฟาริสีตาบอด จงชำระถ้วยชามภายในเสียก่อน เพื่อข้างนอกจะได้สะอาดด้วย…27 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก28 เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม
ทรงเยียวยารักษา เพื่อให้หายดี ไม่กลับไปทำบาปอีก ดังตัวอย่างของหญิงล่วงประเวณีที่ถูกจับได้ และถุกนำมาเป็นเครื่องมือในการจับผิดพระเยซูคริสต์ว่า พระองค์จะใช้หลักความเมตตา หรือใช้หลักธรรมบัญญัติเรื่องการลงโทษขว้างด้วยหินให้ตาย พระเยซูไม่ตอบ แต่เขียนอะไรบางอย่างบนพื้น และทรงถามคำถามกลับว่า
ยอห์น 8:7-11 7 และเมื่อพวกเขายังทูลถามอยู่เรื่อยๆ พระองค์ก็ยืดพระกายขึ้นตรัสตอบเขาว่า “ใครในพวกท่านไม่มีบาป ให้เอาหินขว้างนางก่อนเป็นคนแรก” 8 แล้วพระองค์ก็ทรงน้อมพระกายลงเอานิ้วพระหัตถ์เขียนที่ดินอีก9 แต่เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินดังนั้น เขาทั้งหลายจึงออกไปทีละคนๆ เริ่มจากคนเฒ่าคนแก่ เหลือแต่พระเยซูตามลำพัง กับหญิงคนนั้นที่อยู่ต่อพระพักตร์พระองค์10 พระเยซูทรงเงยพระพักตร์ขึ้นตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย พวกเขาไปไหนหมด ไม่มีใครเอาโทษเจ้าหรือ”11 นางนั้นทูลว่า “พระองค์เจ้าข้า ไม่มีผู้ใดเลย” และพระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิดและอย่าทำผิดอีก”
การให้ยกโทษให้อภัย คือการเยียวยารักษา ที่พระเยซูคริสต์กำลังเป็นแบบอย่างให้กับเรา สังคมจะรับการเยียวยา เพื่อมีการให้อภัยต่อกันและกัน คนที่รับการยกโทษให้อภัยจะหายดีไม่กลับไปป่วยอีก เมื่อไม่กลับไปทำผิด ทำบาป ซ้ำๆอีก
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า forgive but not forget แปลว่า ให้อภัย แต่ไม่ลืม คำว่า ไม่ลืมนี่แหล่ะ คือการกลับไปย่ำอยู่ที่รอยเดิมของการเจ็บปวดที่ไม่ยอมออกจากความทรงจำที่ไม่ดีนั้นๆ การให้อภัยนี้ เป็นการให้อภัยจริงหรือไม่
มีการทดสอบหนึ่งที่เปรียบเทียบเรื่องการหายดี คือ การทดสอบความเจ็บของบาดแผล ถ้ายังเจ็บอยู่ก็แสดงว่า ยังไม่หายดี คำถามว่า พระเยซูทรงเรียวยารักษาให้แล้วใช่ไม๊? คำตอบคือใช่ แต่หลังจากนั้น คนที่เจ็บต้องดูแลตัวเองให้หายเจ็บด้วย เหมือนเราไปหาหมอ หมอรักษาเราตามกระบวนการเพื่อให้หายดี แต่คนไข้ ต้องทำส่วนของตนเอง เพื่อให้ตนเองไม่กลับไปป่วยซ้ำ ทำนองเดียวกัน ที่พระเยซูทรงเป็นแพทย์ผู้ประเสริฐ ที่ทรงเรียวยรักษาเราแล้ว และบ่อยครั้ง เรามักจะโยนส่วนที่เราต้องรับผิดชอบไปให้กับพระองค์ ทำให้มีคริสเตียนไมน้อย ที่ยังไม่หายดี และพลาดโอกาสที่จะชื่นชมยินดีกับสุขภาพที่ดีของฝ่ายจิตใจและจิตวิญญาณ วินัยใหม่ คือคำศัพท์ที่เรามักใช้เรียกกระบวนการการใช้ชีวิตหลังจากการทรงเยียวยารักษาเพื่อให้หายดี ไม่กลับไปทำบาปอีก ต่อให้มีการมาย้ำบาดแผล หรือพูดถึงอดีตที่ผ่านมา ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวด และไม่กลับไปที่วงจรเดิมๆของการรู้สึกปฏิเสธ…..
ทรงเยียวยารักษา เพื่อให้เราเป็นทีมร่วมรับใช้กับพระองค์ ที่พระเยซูคริสต์ทรงเรียกว่าสหาย เพราะพระองค์จะอนุญาตให้ทีมของพระองค์รู้ทุกสิ่งที่มาจากพระเจ้าพระบิดา
ยอห์น 15:15 15 เราจะไม่เรียกท่านทั้งหลายว่าบ่าวอีก เพราะบ่าวไม่ทราบว่านายทำอะไร แต่เราเรียกท่านว่ามิตรสหาย เพราะว่าทุกสิ่งที่เราได้ยินจากพระบิดาของเรา เราได้สำแดงแก่ท่านแล้ว
พระเยซูทรงใช้คำว่า เข้าสนิท เป็นเหมือนกับแขนงติดอยู่กับเถา พระบิดาทรงทำหน้าที่ลิดกิ่งออกไปจากแขนง การเข้าสนิทกับพระเยซูคริสต์คือการรับน้ำหล่อเลี้ยงจากพระองค์ ชีวิตที่เข้าสนิทกับพระเยซูคริสต์ จะไม่ได้รับน้ำหล่อเลี้ยงจากรากเดิมที่เป็นรากขมขื่นของชีวิตตนเองอีกต่อไป และนี่คือภาพของการทรงเยียวยารักษาอย่างสมบูรณ์ที่พระเยซูคริสต์ทรงเป็นต้นไม้ที่แข็งแรงให้เรามาเชื่อมต่อ ผลที่ออกมาของเราจะดี เหมือนตันไม้ดี ที่ออกแต่ผลดี จะออกผลเลวไม่ได้
ลูกา 6:43 43 “ด้วยว่าต้นไม้ดีย่อมไม่เกิดผลเลว หรือต้นไม้เลวย่อมไม่เกิดผลดี
การลิดกิ่งอาจเจ็บปวด แต่ไม่ใช่ความเจ็บปวดแบบฝังใจฝังจำเหมือนต้นไม้เลวที่ออกผลเลว จะออกผลดีก็ไม่ได้ ขอให้เราทุกคนจงเข้าสู่กระบวนการทรงเยียวยารักษาของพระเยซูคริสต์เจ้า
ยอห์น 15:5 5 เราเป็นเถาองุ่น ท่านทั้งหลายเป็นแขนง ผู้ที่เข้าสนิทอยู่ในเราและเราเข้าสนิทอยู่ในเขา ผู้นั้นก็จะเกิดผลมาก เพราะถ้าแยกจากเราแล้วท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย
ทรงเยียวยารักษา God’s Healinเg