“ฤดูกาลใหม่….การเชื่อฟังใหม่” New Season….New Obedience
การเชื่อฟังใหม่ เกิดขึ้น ในชีวิตปกติใหม่ และส่งผลให้ภาพรวมของประเทศไทย ติดอันดับหนึ่งในเอเชีย และอันหกของโลก เรื่องความปลอดภัยจากโรคระบาดโควิด 19 วันนี้ การเชื่อฟังในชีวิตปกติใหม่ ทำให้เรากลายเป็นสังคมที่น่าอยู่ด้านสาธารณะสุข สุขอนามัย ของการอยู่ร่วมกัน การรับความเข้าใจ ความรู้ ทำให้เราออกจากบ้านมาทำกิจธุระปกติในวิถีชีวิตใหม่ เพียงแต่ ขอให้เราเชื่อฟัง เราจะปลอดภัย ปลอดโรค (ติดเชื้อ)
สังเกตว่า โรคนี้มาจากต่างประเทศ ไม่ได้เกิดจากภายในประเทศของเรา ยิ่งเราอยู่ห่างไกลจากคนที่มาจากประเทศที่มีการแพร่ระบาดเชื้อโรคเท่าใด เรายิ่งปลอดภัย เราจึงเห็นว่า มีการต้องซักประวัติว่า ก่อนหน้านี้ ไปไหนมา และต้องเชื่อฟัง ในการให้ข้อมูลอย่างสัตย์ซื่อ คนที่ไม่เชื่อฟัง ให้ข้อมูลเท็จ ทำให้ตนเอง กลายเป็น Super spreader คนหนึ่ง ทำให้คนติดเชื้อโรคไปถึงร้อย พันคน
การเชื่อฟังใหม่ คือการเริ่มต้นฤดูกาลใหม่ วันนี้ ข้าพเจ้าเขียนสูจิบัตร ด้วยหัวข้อว่า ฤดูกาลใหม่….การเปลี่ยนแปลงใหม่ ตัวอย่าง เช่นคริสตจักรของเราไม่เคยทำมาก่อน เช่น ให้จองที่นั่งล่วงหน้าก่อนมาโบสถ์ เมื่อก่อนกว่าจะให้คนมาโบสถ์ได้ ต้องเรียกแล้วเรียกอีก แต่ตอนนี้ ที่นั่งในโบสถ์ ถ้าไม่จอง ไม่มีค่ะ เพราะตอนนี้ เต็มแล้ว ก่อนถึงวันอาทิตย์ เราต้องเสียที่นั่งไปกับการเว้นระยะห่าง แต่ปรากฏว่า นี่คือฤดูกาลใหม่ ที่เกิดขึ้นกับโบสถ์เรา คือ มีคนมาโบสถ์มากขึ้นกว่าที่ผ่านมา…..
ฤดูกาลใหม่….การเชื่อฟังใหม่ ทำให้คริสตจักรเรา ต้องงดเดินถุงถวายทรัพย์ เปลี่ยนช่องทางถวายทรัพย์เป็นเอาเงินใส่ซองและให้หยอดกล่องกันเอง หรือโอนเงินถวายเข้าบัญชีธนาคารของโบสถ์ เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เราเห็นพี่น้องทำการถวายทรัพย์ผ่านช่องทางใหม่นี้ อย่างล้นดู้ถวาย (เพราะตู้ถวายเราเล็กๆ) บางคนแนะว่า ต้องทำตู้ใหม่ใหญ่กว่าเดิมแล้ว ขอขี้แจงว่า ซองถวายของคริสตจักร มีช่องให้เขียนว่า ถวายเรื่องอะไร เท่าไหร่ สามารถใส่ซองรวมเงินมาได้ แล้วคนนับเงิน เขาจะลงบัญชีและออกใบเสร็จตามที่ท่านระบุจำนวนเงินไว้หน้าซองเอง นี่คือ การเชื่อฟังใหม่ ที่ทุกคนเต็มใจ และสัตย์ซื่อในการถวายาทรัพย์
ฤดูกาลใหม่ ….การเชื่อฟังใหม่ ทำให้ทุกอย่างเป็นระเบียบ และทำให้เป็นที่พอใจของคน และข้าพเจ้าแน่ใจว่า พระเจ้าทรงพอพระทัย กับสังคมที่มีระเบียบแน่นอน พระคำในวันนี้ที่จะเทศนา มาจากหนังสือหนึ่งซามูเอล 15 มีประโยคทองที่กล่าวถึง การเชื่อฟัง….
1ซามูเอล 15:22 22 และซามูเอลกล่าวว่า “พระเจ้าทรงพอพระทัยในเครื่องเผาบูชาและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระองค์หรือ ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้
ก่อนจะถึงฤดูกาลใหม่….การเชื่อฟังใหม่ สำหรับอาณาจักรอิสราเอล เกิดการไม่เชื่อฟัง ทำให้เป็นที่มาของประโยคทอง.….ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะสดับฟังก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้…. ประโยคทองนี่ คือคำพูดของซามูเอลผู้เผยพระวจนะของพระเจ้าที่ทรงใช้แต่งตั้งกษัตริย์คนแรกของอิสราเอล(ตามคำเรียกร้องของประชาชนที่อยากจะมีกษัตริย์ผู้นำชนชาติที่เป็นมนุษย์เหมือนกับชนชาติรอบข้างพวกเขา พระเจ้าจึงทรงเลือกซาอูล ซามูเอลได้กล่าวคำทบทวนซาอูลว่าเขามาจากไหน จึงได้เป็นกษัตริย์….
1ซามูเอล 15:17 17 และซามูเอลเรียนว่า “แม้ท่านเป็นแต่ผู้เล็กน้อยในสายตาของท่าน ท่านมิได้รับแต่งตั้งให้เป็นประมุขของบรรดาเผ่าอิสราเอลดอกหรือ พระเจ้าทรงเจิมท่านไว้เป็นพระราชาเหนืออิสราเอล
ซาอูลได้รับการเลือก เจิมตั้งจากพระเจ้า ไมใช่จากความสามารถของตัวเขาเอง ในการรบทุกครั้ง ซาอูลชนะในการต่อสู้ ก็เพราะพระเจ้าทรงทำให้เขาชนะ เพราะซาอูลในตอนต้นๆ เชื่อฟังคำสั่ง ให้บุก ให้ลุย ให้ยึด ให้ทำลายทุกอย่าง แต่ว่า….พอมาถึงตอนนี้ ซาอูลเกิดความเสียดาย(โลภ) สิ่งที่พระเจ้าสั่งให้ทำลายให้หมด เก็บสิ่งที่ตนเองอยากได้ไว้
13 และซามูเอลก็มาหาซาอูล และซาอูลเรียนท่านว่า “ขอพระเจ้าอวยพระพรท่านเถิด ข้าพเจ้าได้ปฏิบัติตามพระธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว”14 และซามูเอลกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นเสียงแกะที่ร้องเข้าหูข้าพเจ้ากับเสียงวัวที่ข้าพเจ้าได้ยินหมายความว่ากระไร”15 ซาอูลตอบว่า “เขาทั้งหลายได้นำมาจากคนอามาเลข เพราะพวกพลได้ไว้ชีวิตแกะและโคที่ดีที่สุด เพื่อเป็นเครื่องสัตวบูชาแด่พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน นอกจากนั้นเราทั้งหลายก็ได้ทำลายเสียสิ้น”
ซาอูลตีความการเชื่อฟังพระเจ้าของเขาเอง ว่า การที่เขาปฏิลัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว เขาเลือกไม่เชื่อฟังบางอย่างที่พระเจ้าจะตรัสกับเขา สังเกตว่า ในบทสนทนที่ซามูเอลตอบซาอูลในตอนนี้
1ซามูเอล 15:19 19 เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า แต่ไปเฉี่ยวทรัพย์สิ่งของต่างๆ และกระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรพระเจ้า”
ซามูเอลใช้คำว่า ไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า ซึ่งไม่ใช่แค่การปฏิบัติตามธรรมบัญญัติ เท่านั้น พระสุรเสียงของพระเจ้า คือ เรมาห์ Rhema ที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้สื่อถึง ถ้อยคำที่ออกมาจากถ้อยคำ เรห์มา ออกมาจากโลกอส
ยอห์น 15:3 3 ท่านทั้งหลายได้รับการชำระให้สะอาดแล้วด้วยถ้อยคำที่เราได้กล่าวแก่ท่าน
ถ้อยคำที่พระเยซูใช้พูดกับสาวก ตอนนี้ ใช้คำว่า โลกอส G3056 λόγος logos (โลกอส) a word, something said ที่จะฝังอยู่ในความทรงจำของสาวก
ยอห์น 15:7 7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
ถ้อยคำ ที่พระเยซูคริสต์ทรงตรัสในข้อ 7 นี้ พระองค์ใช้คำว่า เรห์มา Rhema ที่แปลว่า ถ้อยคำที่ออกมาจากถ้อยคำ G4487 ῥήμα rhema เรห์มา an utterance, a flow of words
เรห์มา คือเสียงที่เปล่งออกมาจากถ้อยคำ (โลกอส) คือพระคำของพระเจ้า เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์ เราได้ยินเสียงออกมาจากพระคัมภีร์ เป็นความเข้าใจ เป็นคำสั่งให้เราทำตาม ด้วยความเชื่อฟัง และนี่คือ สิ่งที่ซามูเอลพูดกับซาอูลว่า 19 เหตุใดท่านจึงไม่เชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเจ้า…..
มีคนหนึ่งต้องการทดสอบการฟังเสียงของคนในมหานครนิวยอร์ค เมืองใหญ่ของอเมริกาอย่างนี้ คือเมืองใหญ่ เมืองเศรษฐกิจจะมีสภาพเสียงดัง และผู้คนแออัด เดินไปมาไม่สนใจใคร ครั้งหนึ่งข้าพเจ้าเคยไปเจอนักท่องเที่ยวในที่พักที่เรียกว่า hostel ที่พักราคาถูกสำหรับคนท่องเที่ยว ถ้าจำไม่ผิด ข้าพเจ้าพบเขาที่ฝรั่งเศส เมื่อได้พูดคุยกัน ว่าเขาท่องเที่ยงไปไหนๆบ้าง เขาก็พูดถึงกรุงโรม เมืองหลวงของอิตาลี ที่มีชื่อเสียงเรื่องการถูกล้วงกระเป๋า และสภาพเลวร้ายของสังคมคนแออัด เขาเปรียบเทียบอย่างนี้ว่า สองกรุงโรมยังไม่เท่าหนึ่งนิยอร์ค และเรื่องที่คนๆหนึ่งต้องการจะทดสอบการฟังเสียงของคนนิวยอร์คว่า คนในนครนิวยอร์คมีการฟังเสียงอย่างไร ชายคนนี้ ก็เลยไปอยู่ที่ย่านที่ผู้คนในนิวยอร์คเดินไปเดินมาอย่างเร่งรีบมากที่สุด ไม่มีอะไรจะหยุดพวกเขาได้ ไม่ว่าใครจะเป็นหรือจะตายตรงหน้า (เรารู้ว่า ตอนนี้ นิวยอร์คมีสถิติคนตายเพราะโควิด19 มากที่สุดอันดับหนึ่งของโลก ชายคนที่ต้องการทดสอบการฟังเสียงของคนนิวยอร์คได้ทำเหรียญดอลล่าหล่นลงกับพื้น เท่านั้นแหล่ะ เสียงดังอะไร ก็ไม่สามารถจะกลบเสียงของเหรียญเงินที่หล่นในเวลานั้นได้ ผู้คนหยุดเพื่อจะเก็บเหรียญที่หล่นนั้น….
วันนี้ เรากำลังฟังเสียงอะไรอยู่ เรากำลังดำเนินชีวิตตามเสียงของอะไร ซาอูลอ้างว่า เขาเชื่อฟังธรรมบัญญัติของพระเจ้า แน่นอน ก็ไม่ต่างจากคนยิวทั่วไปในยุคนั้น ที่จะต้องเรียนและรู้ธรรมบัญญัติของพระเจ้า ซามูเอลได้ชี้ให้ซาอูลเห็นว่า การเชื่อฟังธรรมบัญญัติของซาอูลไร้ผล และยังถือว่า สิ่งที่ซาอูลทำนั้น คือการไม่เชื่อฟัง
1ซามูเอล 15:22-23 22 และซามูเอลทูลว่า “พระยาห์เวห์พอพระทัยในเครื่องบูชาเผาทั้งตัวและเครื่องสัตวบูชามาก เท่ากับการที่จะเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระยาห์เวห์หรือ? ดูเถิด ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะเอาใจใส่ก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้ 23 เพราะการกบฏก็เป็นเหมือนบาปแห่งการถือฤกษ์ถือยาม และความดื้อดึงก็เป็นเหมือนบาปชั่วและการไหว้รูปเคารพ เพราะเหตุที่ท่านทอดทิ้งพระวจนะของพระยาห์เวห์ พระองค์จึงทรงถอดท่านออกจากตำแหน่งกษัตริย์”
หากเราเปลี่ยนมาเป็นคริสเตียแล้วไม่มีการได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า การเป็นคริสเตียนของเราก็ไม่ต่างจากการนับถือศาสนาเดิม และมันก็คือการเปลี่ยนศาสนาเท่านั้น แต่ห่างไกลจากแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ นั่นคือ การได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า และการเชื่อฟัง
ฤดูกาลใหม่…การเชื่อฟังใหม่ ในเวลานี้ ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่า คือ การเปลี่ยนแปลงใหม่ ที่เราทุกคน รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ในมิติของการเชื่อฟังใหม่ ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป มีการฝึก การแสวงหา และตรวจสอบ เพื่อจะเชื่อฟังเสียงที่มาจากพระเจ้า ไม่ใช่เสียงที่มาจากค่านิยมของโลกนี้ หรือค่านิยมในสังคมคริสเตียนที่แฝงไปด้วยค่านิยมของโลกนี้
เสียงของพระเจ้า ที่พูดผ่านพระคัมภีร์ สดใหม่ โปร่งใส สะอาด ถูกสุขอนามัยต่อจิตวิญญาณ เป็นเสียงที่ฟังแล้วสดชื่น เบิกบาน ทำให้มีความเชื่อ ทำให้มีความรัก และการให้อภัย ทำให้จิตใจอ่อนโยน ยอมจำนนต่อสิ่งที่ดี และมีชัยชนะเหนือความโกรธ เกลียด อคติทั้งหลาย นั่นแหละคือพระสุรเสียงของพระเจ้า สิ่งที่พระเยซูตรัสว่า ….
ยอห์น 15:7 7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น
ถ้อยคำที่ออกมาจากถ้อยคำ The word through a word (Rhema thru Logos) เป็นถ้อยคำที่ให้ชีวิต give life เป็นน้ำพุแห่งชีวิต เปลี่ยนความเศร้าโศกให้กลายเป็นความชื่นชมยินดี เปลี่ยนความสิ้นหวังให้กลายเป็นความหวัง และเปลี่ยนสภาพที่แห้งตายอย่างกระดูกแห้งให้กลับมีชีวิตอีกครั้ง เมื่อพระเจ้าทรงนำเอเสเคียลผู้เผยพระวจนะไปหว่างเขากระดูกแห้ง มีคำสั่ง และการกระทำตามของเอเสเคียลดังนี้
เอเสเคียล 37:1-14 1 พระหัตถ์ของพระเจ้ามาอยู่เหนือข้าพเจ้า และพระองค์ทรงนำข้าพเจ้าออกมาด้วยพระวิญญาณของพระเจ้าและวางข้าพเจ้าไว้ที่กลางหว่างเขา มีกระดูกเต็มไปหมด2 พระองค์ทรงพาข้าพเจ้าไปเที่ยวในหมู่กระดูกเหล่านั้น ดูเถิด มีกระดูกที่หว่างเขานั้นมากมายเหลือเกิน และนี่แน่ะ เป็นกระดูกแห้งทีเดียว3 และพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้จะมีชีวิตได้ไหม” และข้าพเจ้าทูลตอบว่า “พระเจ้าเจ้าข้าพระองค์ก็ทรงทราบอยู่แล้ว”4 พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าอีกว่า ‘จงเผยพระวจนะต่อกระดูกเหล่านี้ และกล่าวแก่มันว่า กระดูกแห้งเอ๋ย จงฟังพระวจนะของพระเจ้า
พระเจ้าสั่งให้เอเสเคียล พูด ให้กระดูกแห้งได้ยินคำเผยพระวจนะ ที่แปลว่า The word คำที่เอเสเคียลพูด คือ คำที่ท่านได้ยินเป็นเสียงจากพระเจ้า
5 พระเจ้าตรัสดังนี้แก่กระดูกเหล่านี้ว่า ดูเถิด เราจะกระทำให้ลมหายใจเข้าไปในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต6 เราจะวางเส้นเอ็นไว้บนเจ้าและจะกระทำให้เนื้อมีมาบนเจ้า และเอาหนังคลุมเจ้า และบรรจุลมหายใจในเจ้าและเจ้าจะมีชีวิต และเจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า” 7 ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ข้าพเจ้าได้รับบัญชา เมื่อข้าพเจ้าเผยอยู่นั้นก็มีเสียง และดูเถิด เป็นเสียงกรุกกริก กระดูกเหล่านั้นก็เข้ามาหากันตามที่ของมัน8 และเมื่อข้าพเจ้ามองดูก็เห็นมีเอ็นบนมัน และเนื้อก็มาที่กระดูก และหนังก็มาหุ้มกระดูกไว้แต่ไม่มีลมหายใจในนั้น
พระเจ้าพูดกับเอเสเคียลเป็นคำสั่ง และเอเสเคียลก็เผยพระวจนะ (พูดตามที่ท่านได้ยินพระสุรเสียงของพระเจ้า)
9 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “จงเผยพระวจนะแก่ลมหายใจ บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย จงเผยเถิด จงกล่าวแก่ลมหายใจว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า ลมหายใจเอ๋ย จงมาจากลมทั้งสี่ มาหายใจเข้าไปในคนที่ถูกฆ่าเหล่านี้เพื่อให้เขามีชีวิต”10 ข้าพเจ้าก็เผยพระวจนะดังที่ทรงบัญชาแก่ข้าพเจ้า และลมหายใจก็เข้ามาในกระดูก และกระดูกก็มีชีวิต แล้วก็ยืนขึ้นเป็นกองทัพใหญ่โตจริงๆ 11 แล้วพระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “บุตรแห่งมนุษย์เอ๋ย กระดูกเหล่านี้คือพงศ์พันธุ์อิสราเอลทั้งสิ้น ดูเถิด เขาทั้งหลายกล่าวว่า ‘กระดูกของเราแห้ง และความหวังของเราก็สิ้นไป เราถูกทำลายเสียหมดจดทีเดียว’
จากกระดูกแห้งอย่างสิ้นเชิง ในตอนนี้ ใช้คำว่า ถูกทำลายเสียหมดจด(เสียหมด) ไม่มีทาง ไม่มีวันที่จะกลับมามีชีวิตได้อีก แต่ถ้อยคำของเอเสเคียลที่มาจากการได้ยินเสียงของพระเจ้า เป็นถ้อยคำที่ศักดิ์สิทธิ์ ทำให้กระดูกแห้งกลับมีชีวิต ทำให้สิ่งที่ไม่มีวันเป็นไปได้ เป็นไปได้
พระเจ้ายังพูดกับเอเสเคียลต่อไปอีกว่า
12 เพราะฉะนั้น จงเผยพระวจนะและกล่าวแก่เขาว่า พระเจ้าตรัสดังนี้ว่า “ดูเถิด โอ ประชากรของเราเอ๋ย เราจะเปิดหลุมฝังศพของเจ้า และยกเจ้าออกมาจากหลุมฝังศพของเจ้า และจะนำเจ้ากลับมายังแผ่นดินอิสราเอล13 โอ ประชากรของเราเอ๋ย เจ้าจะทราบว่า เราคือพระเจ้า ในเมื่อเราเปิดหลุมศพของเจ้า และยกเจ้าออกมาจากหลุมศพของเจ้า14 และเราจะบรรจุวิญญาณของเราไว้ในเจ้า และเจ้าจะมีชีวิต และเราจะวางเจ้าไว้ในแผ่นดินของเจ้า แล้วเจ้าจะทราบว่าเราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
14 …..เราคือพระเจ้าได้ลั่นวาจาแล้ว และเราได้กระทำ พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ”
คำว่า ลั่นวาจาแล้ว คือ พระสุรเสียงที่พระเจ้าได้เปล่งออกมาแล้ว พระองค์จะทำให้สำเร็จ น่าสนใจว่า เสียงของพระเจ้าที่เปล่งออกมาแล้ว ดังก้องอยู่ ไม่หายไปไหน แต่คนที่จะได้ยินเสียงนั้น คือ คนที่แสวงหาที่จะเชื่อฟังถึงจะได้ยินเสียงของพระองค์
สุภาษิต 25:2 2 ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าคือการซ่อนสิ่งต่างๆ ไว้ แต่ศักดิ์ศรีของพระราชา คือการค้นสิ่งต่างๆ ให้ปรากฏ
กษัตริย์ดาวิดได้รับการเจิมตั้งเป็นกษัตริย์แทนซาอูล เพราะท่านเป็นผู้ที่แสวงหาที่จะฟังเสียงของพระเจ้าเพื่อจะเชื่อฟัง มิใช่เพิ่อความปรารถนาของตนเอง ท่านได้เขียนพระคัมภีร์สดุดี 119 แสดงถึงความตั้งใจแน่วแน่ของท่านที่จะเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าที่สำแดงแก่ท่านในทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นธรรมบัญญัติ หรือพระสุรเสียงของพระเจ้า
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสคำว่า เชื่อฟัง ที่แม้แต่พระองค์เอง ก็ทรงยอมเชื่อฟัง เมื่อยอห์นผู้ให้บัพติสมาในน้ำ ปฏิเสธที่จะให้บัพติศมาในน้ำแก่พระองค์ เพราะนั่นคือการลดพระองค์ลงมาอยู่ใต้ยอห์น เพราะยอห์นรู้ว่า พระเยซูคริสต์คือผู้ที่สูงกว่าท่าน
ยอห์น 3:14-17 14 แต่ยอห์นทูลห้ามพระองค์ว่า “ข้าพระองค์ต้องการจะรับบัพติศมาจากพระองค์ ควรหรือที่พระองค์จะเสด็จมาหาข้าพระองค์”15 แต่พระเยซูตรัสตอบยอห์นว่า “บัดนี้จงยอมเถิด เพราะสมควรที่เราทั้งหลายจะกระทำตามสิ่งชอบธรรมทุกประการ” แล้วยอห์นก็ยอม 16 ครั้นพระองค์ทรงรับบัพติศมาแล้ว ในทันใดนั้นก็เสด็จขึ้นจากน้ำ และท้องฟ้าก็แหวกออก และพระองค์ได้ทรงเห็นพระวิญญาณของพระเจ้าดุจนกพิราบ ลงมาสถิตอยู่บนพระองค์17 และนี่แน่ะมีพระสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์ว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก”
ฤดูกาลใหม่….การเชื่อฟังใหม่ จะทำให้เราทั้งหลายได้ยินเสียงจากฟ้า ว่า พระเจ้าทรงชอบใจเรามาก อาเมน
ยอห์น 15:7 7 ถ้าท่านทั้งหลายเข้าสนิทอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราฝังอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใด ซึ่งท่านปรารถนาก็จะได้สิ่งนั้น