“เกิดผลในพระคริสต์….รู้จักรับมือกับทุกเรื่อง”
คำว่า “กลัว” เป็นสิ่งที่หลายคนไม่อยากอยู่ในสภาวะของความรู้สึก “กลัว” แต่ก็มีคนไม่น้อยที่ไม่สามารถหลุดพ้นจากความรู้สึกกลัวได้ คนไทยเรามักเลี้ยงเด็กให้รู้สึกกลัว ไม่เหมือนฝรั่งที่สอนให้เด็กไม่กลัว แต่ให้ใช้เหตุผลในการระมัดระวัง ข้าพเจ้าเคยกลัวตุ๊กแก เพราะสมัยข้าพเจ้าเป็นเด็กได้ยินเรื่องเล่าเกี่ยวกับตุ๊กแกที่น่ากลัว ข้าพเจ้าจึงกลัวตุ๊กแก ไม่กล้าจับ ไม่กล้ามองดูตุ๊กแก พอโตก็ทำบำบัดด้วยตัวเองด้วยการเอาถุงพลาสติคใส่มือจับตุ๊กแก ก็พบว่า มันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เด็กต่างจังหวัดจับตุ๊กแกเป็นว่าเล่นด้วยมือเปล่า เวลามันกัด ก็จัดการกับตุ๊กแกได้ และเรียนรู้วิธีป้องกันไม่ให้ตุ๊กแกกัดคือการระมัดระวัง ความกลัวกับการระมัดระวังแตกต่างกัน ความระมัดระวังจะเกิดขึ้น เมื่อเรารู้วิธีรับมืออย่างถูกต้อง แต่ถ้าเราไม่รู้วิธีรับมืออย่างถูกต้อง เราจะเกิดความกลัว การรับมืออย่างถูกต้อง สามารถใช้กับทุกสถานการณ์ ทุกโอกาส ทุกปัญหา ไม่ว่าจะเรื่องของความสัมพันธ์ภายในครอบครัว สุขภาพร่างกายทั้งเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจ อาชีพการงาน ข้าพเจ้านึกถึงเพลงๆหนึ่ง ในภาษาอังกฤษใช้สำนวนว่า Nothing is impossible for thee แปลว่า ไม่มีสิ่งเกินกำลังพระเจ้า ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระองค์ พระเจ้ายิ่งใหญ่ ทรงฤทธิ์เหนือนามพระใดๆ ไม่มีสิ่งใด เกินกำลังของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดยากสำหรับพระเจ้า…..และก็มักจะตามด้วยเพลง องค์พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ องค์พระเจ้าของเราเกรียงไกร ชาวสวรรค์และโลกา พากันร้องสรรเสริญว่า องค์พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ ความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าจะทำให้คุณรู้ว่า คุณจะรับมือกับทุกสิ่งได้ บทเรียนจากพระวจนะสำหรับเราในวันนี้อยู่ในหนังสือกิจการ 5:11-16 11ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสตจักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น12 มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่าง ซึ่งอัครทูตได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน พวกสาวกอยู่พร้อมกันในเฉลียงของซาโลมอน13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย แต่ประชาชนเคารพอัครทูตมาก14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย หลังจากที่เปโตรได้พูดถ้อยคำแห่งความรู้ (รู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้) แก่อานาเนียและสัปฟีรา สามีภรรยาที่ยักยอกเงินขายที่ดินไว้สำหรับตนเอง และต้องการจะได้ชื่อว่าตนเป็นคนที่ถวายทรัพย์ทั้งหมดจากการขายที่ดิน สามีภรรยาคู่นี้ได้ล้มลงตายทันทีต่อหน้าเปโตร เหตุการณ์นี้ได้ทำให้เกิดบรรยากาศที่เรียกว่า 11ความเกรงกลัวอย่างยิ่งเกิดขึ้นในคริสต จักร และในหมู่คนทั้งปวงที่ได้ยินเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์การตายแบบไม่ธรรมดาของอานาเนียและสัปฟีราทำให้เกิดความกลัวแก่คริสเตียนและคนที่ไม่ใช่คริสเตียนด้วย คำว่า ความเกรงกลัวอย่างยิ่ง แสดงให้เห็นว่า กลัวมากๆ แบบกลัวตาย คนที่กลัวตายจะหยุดทุกอย่างที่จะมีส่วนเกี่ยวข้อง ส่วนร่วม และออกจากสิ่งที่จะทำให้ตาย ซึ่งในเวลานั้นกิจกรรมที่เกิดขึ้นท่ามกลางสาวกคือการอัศจรรย์ 12 มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่าง ซึ่งอัครทูตได้ทำด้วยมือของตนในหมู่ประชาชน พวกสาวกอยู่พร้อมกันในเฉลียงของซาโลมอน แค่ฟังเปโตร (หนึ่งในอัครทูตพูด อานาเนียสัปฟีราล้มลงตาย) แล้วนี่ไม่ใช่ฟังอย่างเดียว มีหมายสำคัญและการอัศจรรย์หลายอย่างที่กระทำด้วยมือของอัครทูต ยิ่งดูน่ากลัวยิ่งขึ้น แต่เราจะพบว่า มีคนที่ไม่กลัวตายและยังอยู่กับเหล่าอัครทูต โดยเฉพาะ พวกสาวกอยู่พร้อมกัน คำว่าพร้อมกัน ภาษากรีกแปลว่า อยู่อย่างเต็มใจ อยู่อย่างเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน คือภาพการไม่มีความรู้สึกกลัวในท่ามกลางพวกสาวกเลย และนี่อาจเป็นเหตุให้คนที่ไม่ใช่สาวกที่พระคัมภีร์ตอนนี้เรียกว่า ประชาชน คนเหล่านี้ก็มีใจชื้นที่จะยังคงอยู่ใกล้เหล่าอัครทูต ที่กำลังทำหมายสำคัญและการอัศจรรย์ด้วยมือของพวกเขา พระคัมภีร์ได้ใช้คำที่แยกคนอีกกลุ่มหนึ่ง และเรียกคนกลุ่มนั้นว่า 13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย ในภาษากรีกแปลว่า กลุ่มคนที่ไม่กล้าเข้ามารวมตัวกับเหล่าอัครทูต เป็นพวกที่ขาดประสบการณ์อันหนึ่ง ซึ่งพระคัมภีร์บรรยายประสบการณ์นั้นว่า แต่ประชาชนเคารพอัครทูตมาก เคารพ คำๆนี้ รากศัพท์ภาษากรีก แปลว่า to make declare (Magnify) ยิ่งสรรเสริญ ยิ่งประกาศความยิ่งใหญ่ของเหล่าอัครทูต แปลว่า ประชาชนเหล่านี้ยิ่งใกล้อัครทูตยิ่งเห็นความยิ่งใหญ่ของเหล่าอัครทูต (เคารพ) ความยิ่งใหญ่ที่ว่าคืออะไร ประชาชนคนที่อาจเข้ามาอยู่ใกล้อัครทูตแล้วไม่ตายอย่างที่เขากลัว แล้วยิ่งสรรเสริญสิ่งที่อัครทูตทำ นั่นคือเขาได้เห็นสิ่งที่โดนใจ ชื่นใจ มีความหวังและกำลังใจและมีคำตอบของชีวิต นั่นคือการตอบโจทย์ชีวิตของประชาชนเหล่านี้ นี่คือคำตอบว่า ทำไมจึงมีคนเข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆ และยังติดตามพระเยซูคริสต์ แม้ว่าจะเจออุปสรรคปัญหา การต่อต้านขัดขวางมาก เพราะว่านี่คือ ชีวิตที่เกิดผล…รู้จักรับมือกับทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องที่ไม่น่าจะรับได้ ก็สามารถรับได้ ไม่ใช่เพราะปลงอนิจจัง แต่คือวิถีของแกะที่กำลังติดตามผู้เลี้ยง ยอห์น 10:4 4 เมื่อท่านต้อนแกะของท่าน ออกไปหมดแล้ว ก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามท่านไป เพราะรู้จักเสียงของท่าน5 ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น”แกะมีความกลัวไม๊ มี แต่เพราะแกะได้เห็นผู้เลี้ยง คือพระเยซูคริสต์เจ้าทรงกระทำกิจของพระองค์อย่างผู้เลี้ยงที่ไม่ทอดทิ้งแกะ ยิ่งใกล้ยิ่งเคารพ นี่คือสิ่งที่พระเยซูทรงตรัสกับเปโตรว่า จงเลี้ยงแกะของเราเถิด เปโตรไม่เคยรู้ว่า เขาจะทำบทบาทผู้เลี้ยงอย่างพระเยซูในเวลานี้พร้อมกับพวกอัครทูต คือหมายสำคัญและการอัศจรรย์เพื่อคนที่ไม่ใช่แกะออกไปจากแกะ และถึงเวลาที่แกะจะเดินตามเสียงของผู้เลี้ยง คือพระเยซูคริสต์เจ้าแล้ว คำถามสำหรับเราในวันนี้ก็คือว่า เรากำลังติดตามผู้เลี้ยงหรือวิ่งหนีผู้เลี้ยง และมีคำถามอีกว่า เรากำลังรับไม้ส่งต่อจากพระเยซูในฐานะผู้เลี้ยง หรือเป็นผู้อื่นที่ 5 ส่วนผู้อื่นแกะจะไม่ตามเลย แต่จะหนีไปจากเขา เพราะไม่รู้จักเสียงของผู้อื่น” ชีวิตที่เกิดผล…รู้จักรับมือได้ทุกเรื่อง ในฐานะของแกะกับผู้เลี้ยง บางจังหวะของชีวิตเราต้องเป็นแกะ และบางจังหวะของชีวิตเราต้องเป็นผู้เลี้ยง พระเยซูคริสต์เจ้าก็ทรงเป็นพระเมษโปดก(แกะของพระเจ้า) และทรงเป็นผู้เลี้ยงด้วยเช่นกัน แต่การเป็นแกะของพระองค์ คือการยอมเป็นเครื่องบูชาไถ่บาปมนุษย์ทั้งปวง (ยอมสละชีวิตเพื่อช่วยชีวิต) และการเป็นผู้เลี้ยงแกะของพระองค์คือการตอบโจทย์ชีวิตแก่มนุษย์ทุกคนด้วยเช่นกัน นี่คือสิ่งที่เป็นคำถามสำหรับเราในวันนี้ ว่า ชีวิตของเราได้ตอบโจทย์ชีวิตให้กับคนรอบข้างอยู่หรือไม่ หรือเรากำลังทำให้เกิดโจทย์เพิ่มขึ้น มีปัญหามากขึ้น นั่นไม่ใช่ชีวิตคริสเตียนที่จะได้ความเคารพนับถือจากคนรอบข้างเลย ในทางตรงกันข้ามกลับยิ่งสูญเสียความน่าเคารพนับถือไปเรื่อยๆ ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…..เป็นชีวิตที่รู้จักรับมือได้กับทุกเรื่อง คือคุณลักษณะชีวิตของคริสเตียนที่เป็นที่พึ่งพาอาศัยได้ ไม่ใช่อะไรนิดอะไรหน่อย ก็โวยวายจนบ้านจะพัง แล้วปัญหาใหญ่ๆ เราจะรับมือได้อย่างไร สังคมของเราทุกวันนี้ ต้องการคนที่มีคุณลักษณะที่รับมือได้กับทุกเรื่อง เราต้องการผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ และคริสเตียนคือคนที่ควรจะเป็นผู้นำฝ่ายจิตวิญญาณ การรู้จักรับมือได้กับทุกเรื่องไม่ได้หมายความว่า ไม่มีปัญหาเลย ไม่ใช่ แต่ในทางตรงกันข้าม คือการเผชิญกับปัญหาต่างๆได้อย่างประสบความสำเร็จ อย่างที่อ.เปาโลได้กล่าวว่า ฟิลิปปี 4:12-13 12 ข้าพเจ้ารู้จักที่จะเผชิญกับความตกต่ำ และรู้จักที่จะเผชิญกับความอุดมสมบูรณ์ ไม่ว่าในกรณีใดๆ ข้าพเจ้ารู้จักเคล็ดลับที่จะเผชิญกับความอิ่มท้องและความอดอยาก ความสมบูรณ์พูนสุข และความขัดสน13 ข้าพเจ้าผจญทุกสิ่งได้ โดยพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า นี่คือสำนวนที่อ.เปาโลกำลังพูดว่า ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์….ต้องรู้จักรับมือได้ทุกเรื่อง และเคล็ดลับที่อ.เปาโลพูดถึงนี้ปรากฏในหนังสือ 1 โครินธ์ 15:31 31 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอยืนยัน โดยอ้างความภูมิใจซึ่งข้าพเจ้ามีอยู่ในท่านทั้งหลาย โดยพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราว่า ข้าพเจ้าตายทุกวัน อ.เปาโลกำลังบอกว่าเคล็ดคือตายทุกวัน แปลว่า ทุกๆวัน อ.เปาโลตายต่อความปรารถนาของตนเอง และให้น้ำพระทัยพระเจ้ามาก่อนตัวเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ อ.เปาโลจึงสามารถรับมือได้กับทุกสถานการณ์ ทุกโจทย์ของชีวิต แม้กระทั่งโรคประจำตัวที่อ.เปาโลต้องเผชิญ 2โครินธ์ 12:7-10 7 และเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวจนเกินไป เนื่องจากที่ได้เห็นการสำแดงมากมายนั้น ก็ทรงให้มีหนามใหญ่ในเนื้อของข้าพเจ้า หนามนั้นเป็นทูตของซาตานคอยทุบตีข้าพเจ้าเพื่อไม่ให้ข้าพเจ้ายกตัวเกินไป8 เรื่องหนามใหญ่นั้น ข้าพเจ้าวิงวอนองค์พระผู้เป็นเจ้าถึงสามครั้ง เพื่อขอให้มันหลุดไปจากข้าพเจ้า9 แต่พระองค์ตรัสกับข้าพเจ้าว่า “การที่มีคุณของเราก็พอแก่เจ้าแล้ว เพราะความอ่อนแอมีที่ไหน เดชของเราก็มีฤทธิ์ขึ้นเต็มขนาดที่นั่น” เหตุฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงภูมิใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า เพื่อฤทธิ์เดชของพระคริสต์จะได้อยู่ในข้าพเจ้า10 เหตุฉะนั้นเพราะเห็นแก่พระคริสต์ ข้าพเจ้าจึงชื่นใจในบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้า ในการประทุษร้ายต่างๆ ในความยากลำบาก ในการถูกข่มเหง ในความอับจน เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะแข็งแรงมากเมื่อนั้นอ.เปาโลเป็นผลพลวงจากการที่พระเจ้าได้ทำกิจของพระองค์กับคริสตจักรในช่วงเริ่มต้น ด้วยการใช้ความกลัวแยกคนที่ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วยกับสาวก และด้วยความกลัวเดียวกันก็นำคนเข้ามาเป็นสาวกของพระเยซูคริสต์ และหนังสือกิจการตอนนี้ได้บันทึกถึงผลของความกลัวของคนสองกลุ่ม ดังนี้
1.รับมือไม่ได้ เพราะหลงไปจากความเชื่อ กิจการ 5:13ก
13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย ภาษาชาวบ้านเรียกเหตุการณ์นี้ว่า เชือดไก่ให้ลิงดู 13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย การล้มลงตายของอานาเนียสัปฟีราเป็นกรณีตัวอย่างที่พระเจ้าได้แยกค่านิยมอย่างโลกออกจากคริสตจักรของพระองค์ คนที่รับมือไม่ได้จึงหลงไปจากความเชื่อไม่สามารถรวมเข้ากับคริสตจักรที่เกิดผลในพระคริสต์ได้ คริสตจักรของพระเยซูคริสต์กำลังอยู่ในช่วงเตาะแตะ และจะต้องรีบแข็งแรงพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่หนักหน่วงให้ได้ พระเจ้าทรงรู้ว่า การข่มเหงกำลังรอคอยคริสตจักรอยู่ข้างหน้าในเวลาอันใกล้ ดังนั้นคนที่ยังติดอยู่กับค่านิยมเรื่องเงินทอง ความโลภ และการโกหกเป็นพวกที่รับมือไม่ได้กับการคัดกรองของพระเจ้า 1ทิโมธี 6:9-10 9 ส่วนพวกที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการล่อลวงและติดกับดักของความอยากมากมายที่โง่เขลาและอันตราย ซึ่งฉุดคนเราให้ลง ไปสู่ความพินาศและความย่อยยับ10 เพราะว่าการรักเงินทองเป็นรากเหง้าของความชั่วทั้งหมด ความโลภเงินทองนี้ที่ทำให้บางคนหลงไปจากความเชื่อ(ห่างไกลจากความเชื่อ) และตรอมตรมด้วยความทุกข์มากมาย กรณีขออานาเนียซัปฟีราชัดเจนเรื่องเงินทองเป็นเหตุให้พวกเขาห่างไกลจากความเชื่อและต้องตายเพื่อเป็นกรณีตัวอย่างว่าคริสตจักรต้องบริสุทธิ์จากเรื่องนี้ และคนที่รู้ตัวดีว่า ตัวเองเข้ามาในคริสตจักรด้วยแรงจูงใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องผลประโยชน์จึงถูกหยุดไม่ให้เข้ามาโดยพระเจ้า 13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย คริสตจักรของพระเจ้าในวันนี้ก็เช่นกัน อย่ามีผลประโยชน์ซ่อนเร้นในการเข้ามาหาพระเจ้า มิฉะนั้น พระเจ้าจะเปิดโปงท่านไม่ช้าก็เร็ว ไม่มีสิ่งใดที่จะปิดบังไปจากคนของพระเจ้าได้ การเปิดโปงของพระเจ้ามีนัยยะสำคัญเกี่ยวข้องกับความเข้มแข็งของคริสตจักรที่จะนำข่าวประเสริฐ แผนการแห่งความรอดของมวลมนุษยชาติไปให้ตลอดรอดฝั่ง มิฉะนั้น คริสตจักรจะจบเห่ตั้งแต่คลอดออกมา คริสตจักรจะไม่สามารถฝ่าด่านที่ยากๆ อย่างที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า ด่านอรหันต์ แต่วันนี้ คริสตจักรได้พิสูจน์แล้วว่า ตลอดสองพันปี คริสตจักรเผชิญกับการข่มเหง การทำลายล้าง และคริสตจักรยังคงดำรงอยู่และขยายเติบโตไปเรื่อยๆ จนกว่าทุกอย่างที่พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตรัสไว้สำเร็จ และนี่คือลักษณะของคริสตจักรที่มีชีวิต มีการทรงสถิตของพระเจ้า เพื่อตรวจสอบและแยกค่านิยมอย่างโลกออกจากคริสตจักร 13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย ทุกวันนี้ พระวิญญาณของพระเจ้ายังคงแยกค่านิยมของโลกออกจากคริสตจักรของพระองค์ เราคิดว่า พระเจ้าทำอย่างไร ยุคนั้น อานาเนียสัปฟีราล้มลงตาย ทำให้เกิดความกลัว ยุคของเราพระเจ้าจะใช้อะไรเพื่อให้เกิดผลอย่างเดียวกัน เราไม่เห็นคนล้มลงตาย แต่เราได้เห็นความกลัวทำงานและเห็น 13 คนอื่นๆ ไม่อาจเข้ามาอยู่ด้วย ผู้เขียนหนังสือฮีบรูได้บอกให้เราได้รู้ว่า จะแยกค่านิยมอย่างโลกออกจากคริสตจักรได้อย่างไร ฮีบรู 12:19-20,25 19 เหตุฉะนั้นพี่น้องทั้งหลาย เมื่อเรามีใจกล้าที่จะเข้าไปสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดยพระโลหิตของพระเยซู20 ตามทางใหม่และเป็นทางที่มีชีวิต ซึ่งพระองค์ได้ทรงเปิดออกให้เราผ่านเข้าไปทางม่านนั้น คือทางพระกายของพระองค์….25 อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนที่ขาดอยู่นั้น แต่จงพูดหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะท่านทั้งหลายก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว หนังสือฮีบรูกำลังบอกเราว่าจะมีคริสเตียนไม่น้อยที่หลงไปจากความเชื่อว่าอยู่ได้โดยพระเจ้า และมีพฤติกรรมแยกตัวเองออกจากการสามัคคีธรรมกับพี่น้อง เช่น มีธุระอื่นสำคัญกว่าการนมัสการพระเจ้า วันอาทิตย์กลายเป็นทางเลือกที่จะมาหรือไม่มาก็ได้ ถ้าว่างก็มา ถ้าไม่ว่างก็ไม่มา ความหมายของพระคัมภีร์ตอนนี้คือการบอกว่า การเข้าสู่สถานศักดิ์สิทธิ์โดยการพึ่งพาพระโลหิตของพระเยซูคือท่าทีของคนที่มีใจกล้าที่จะเดินในทางใหม่ทางที่มีชีวิต …ผ่านทางพระกายของพระองค์ ก็คือความกล้าที่จะอยู่อย่างแตกต่างจากวิถีชีวิตเก่า อยู่อย่างเป็นสังคมแบบคริสตจักรที่สวนกระแสกับค่านิยมของโลก ด้วยความเชื่อความศรัทธาที่แน่วแน่ คำเตือนว่า อย่าขาดประชุมเหมือนอย่างบางคน คือการใช้เวลาด้วยกัน รับการตรวจสอบด้วยกัน พบกับการพิสูจน์ที่มาจากพระเจ้า ผ่านคำเทศนา คำพยานของพี่น้องในกลุ่มเซลล์ ในกลุ่มอธิษฐาน ในการรับใช้คนอื่น การใช้เวลาด้วยกันอย่างโปร่งใส แล้วเราจะเห็นชีวิตของตัวเราเองสอดคล้องกับคำพูดหรือไม่ เหมือนกับอานาเนียสัปฟีราที่เมื่ออยู่ต่อหน้าเปโตร การกระทำของพวกเขาขัดแย้งกับคำพูด ผลที่เกิดคือความตาย หากชีวิตของเราสวนทางกับคำพูด การใช้ชีวิตกับผู้เชื่อด้วยกันก็จะทำให้เรารู้ตัวเองว่า เรากำลังเกิดอาการหลงไปจากความเชื่อและจำเป็นต้องกลับเข้ามาในทางของพระเยซูอย่างเร่งด่วนก่อนที่จะสายเกินแก้ เมื่อพบว่า เราไม่สามารถรับมือกับสิ่งที่จะเกิดขึ้น แล้วเราจะประหลาดใจว่า แม้แต่สิ่งที่เล็กน้อย เราก็รับมือกับมันไม่ได้ ดังนั้น การมารวมตัวกันที่คริสตจักรในวันอาทิตย์หรือวันไหนๆในภาพของการนมัสการหรือกลุ่มเซลล์หรือการรับใช้ร่วมกัน หรือการเผชิญกับปัญหาของชีวิตใดๆก็ตาม คือการตรวจเช็กความเชื่อของเราว่า เรากำลังห่างไกลจากความเชื่อ ในการรับมือกับชีวิตอยู่หรือไม่ มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า มีบางคนที่คิดว่าตนเองมีความเชื่อ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่มีความเชื่อเลย ไม่น่าแปลกใจที่คนบางคนจึงรับมือไม่ได้ เพราะชีวิตของคนๆนั้นได้ห่างไกลไปจากความเชื่อเสียแล้ว ตรงกันข้ามกับคนที่รับมือไม่ได้เพราะห่างไกลจากความเชื่อแล้ว นั่นก็คือกลุ่มคนที่….
2.รับมือด้วยการส่งต่อความศรัทธา กิจการ 5:13ข-16
….แต่ประชาชนเคารพอัครทูตมาก14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน15 จนเขาหามคนเจ็บป่วยออกไปที่ถนนวางบนที่นอนและแคร่ เพื่อเมื่อเปโตรเดินผ่านไป อย่างน้อยเงาของท่านจะได้ถูกเขาบางคน16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย ก่อนหน้านี้ เราได้เห็นพวกสาวกมีความกลัว จากการที่เปโตรและยอห์นได้ให้ข้อมูลถึงการข่มขู่จากเหล่าพวกมหาปุโรหิตและพวกผู้ใหญ่ พวกสาวกอธิษฐานขอใจกล้าหาญ และพระเจ้าก็ทรงตอบคำอธิษฐาน ทำให้พวกสาวกมีใจกล้าหาญที่จะกล่าวพระวจนะของพระเจ้า ใจกล้าหาญนี้ทำให้พวกสาวกไม่กลัวการข่มเหงที่มุ่งเป้าเพื่อทำให้เกิดความกลัว แต่พอมาถึงบริบทของความกลัวที่เห็นอานาเนียสัปฟีราล้มลงตาย พวกสาวกต้องเผชิญกับความกลัวอีกอันหนึ่งที่พวกสาวกไม่เคยคิดว่าจะพบกับความกลัวอันนี้ นี่คือย่างก้าวที่พระเจ้าได้ทำให้พวกสาวกเรียนรู้ว่า ตราบใดที่พวกสาวกมีท่าทีที่ถูกต้อง จริงใจ และสัตย์ซื่อ ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัว แม้สิ่งที่พบเห็นจะเป็นสิ่งที่เขย่าความกลัวตามธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนที่ได้พบเห็นก็ตาม พวกสาวกยังคงสำแดงความรักที่จะอยู่ด้วยกันอยู่เหนือความกลัว การบันทึกว่า พวกสาวกอยู่พร้อมกันในเฉลียงของซาโลมอน รากศัพท์ภาษากรีกคำว่า อยู่พร้อมกัน แปลว่า เต็มใจ ไม่ทิ้งกัน แม้จะเกิดความกลัว บางคนเมื่อเกิดความกลัว เขาก็จะเอาตัวเองรอด ทิ้งคนอื่นไว้เบื้องหลัง แต่พวกสาวกต่าง เต็มใจที่จะเผชิญกับสิ่งที่ดูน่ากลัวด้วยกัน และเมื่อเขามีประสบการณ์กับสิ่งที่น่ากลัวที่มาจากพระเจ้าแล้ว จะมีอะไรที่น่ากลัวกว่านี้อีก คงไม่มีแล้ว นอกจากพวกสาวกแล้ว ยังมีประชาชนที่อยู่ใกล้เหล่าอัครทูต ประชาชนเหล่านี้บริสุทธิ์ใจในความเชื่อจึงเข้ามาอยู่ใกล้ จนเป็นกลุ่มคนที่ได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าผ่านเหล่าอัครทูต นี่เป็นภาพของการขับเคลื่อนให้การเกิดผลมากมายเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง 14 มีชายหญิงเป็นอันมากที่เชื่อถือ ได้เข้ามาเป็นสาวกของพระเจ้ามากกว่าก่อน คำว่า มาเป็นสาวกของพระเจ้า หมายถึงการมีศรัทธามากขึ้นตามจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นด้วย มีคำพูดหนึ่งกล่าวถึงการเพิ่มแต่จำนวน แต่ศรัทธาในพระเจ้ากลับลดน้อยถอยลง ซึ่งคริสตจักรในปัจจุบัน กำลังเข้าสู่วิกฤตศรัทธาจำนวนมาก คนมาโบสถ์แต่ขาดความศรัทธาในพระเจ้า ไปยึดติดอยู่กับอย่างอื่นแทน เช่น วัตถุสิ่งของ คนบางคน กิจกรรมบางกิจกรรม พิธีการบางพิธีการ หรือคำสอนที่เน้นจนตกขอบบางคำสอน เป็นต้น หากเรามองดูความศรัทธาของคริสตจักรยุคแรก พวกเขามีความศรัทธาในพระเจ้าแต่ผู้เดียวแม้กระทั่ง หากเขาไม่สามารถฝ่าฝูงชนได้ เขาก็รอคอยอยู่ภายนอก ขอเพียงแค่เงาของผู้รับใช้พระเจ้าอย่างเปโตรผ่านพวกเขาก็ยังดี แต่คริสเตียนในยุคนี้ แค่รอคำตอบจากพระเจ้าช้าอย่างที่ตนเองไม่อยากรอ…ก็งอนพระเจ้าและก็ไปทำอย่างอื่น หรือถ้าต้องลงแรง ลงทุนเพื่อการรับใช้อะไรหน่อยก็ไม่ได้ มาโบสถ์ต้องได้ไม่มีเสีย หรือรับใช้ก็จะไม่ยอมเสียสละอะไรเลย ลำบากหน่อย ร้อนหน่อย ก็บ่นและล้มเลิกไปง่ายๆ ความศรัทธาของพวกเราหายไปไหนกันหมด เราเห็นความศรัทธาของคนที่แสวงหาทางอื่นหรือไม่ ทำไมคนเหล่านั้นยังศรัทธาในรูปปั้น หรือศรัทธาแค่ตามคำพูด คำเชิญชวนของคนโฆษณาชวนเชื่อ ประสบการณ์ที่มีกับพระเจ้าที่เคยมีหายไปไหน พระเยซูเคยตำหนิสาวกว่า ความเชื่อของเจ้าหายไปไหน เมื่อสาวกไม่สามารถรับมือคนรอบข้างมาขอให้สาวกช่วยแก้โจทย์ชีวิตของพวกเขา คริสตจักรยุคแรกก็มีความกลัวเหมือนกับเราที่มีความกลัว คริสตจักรยุคแรกก็เจอปัญหาเศรษฐกิจเหมือนกับเราที่กำลังเจอ คริสตจักรยุคแรกก็หนักกว่าเราในเรื่องเสรีภาพในการนมัสการพระเจ้า แต่พวกเขาก็ยังนมัสการพระเจ้า แต่พวกเขาไม่สูญเสียความศรัทธา และยังส่งต่อความศรัทธากันไปจากในเมืองไปถึงเมืองรอบๆ คนมากมายต่างพาคนป่วยที่ไม่สามารถมาได้ก็ยังพามานอนแผ่รอที่จะรับการสำแดงความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า และปรากฏว่า ไม่มีใครสักคนที่จะไม่ได้รับการรักษาให้หาย แปลว่า ทุกคนได้รับการตอบสนอง 16 ประชาชนได้ออกมาจากเมืองที่อยู่ล้อมรอบกรุงเยรูซาเล็ม พาคนป่วยและคนที่มีผีโสโครกเบียดเบียนมา และทุกคนก็หาย คริสตจักรยุคแรกยังถูกขัดขวางไม่ให้เกิดผล แต่พวกเขาก็เกิดผลอย่างมากมาย มีโจทย์ชีวิตมากมายกับคนในยุคนั้น ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง เรื่องเจ็บป่วย เรื่องจิตใจ และเรื่องวิญญาณชั่วรบกวน แต่คริสตจักรก็สามารถรับมือกับโจทย์ชีวิตของคนเหล่านั้นได้ แล้วเราในวันนี้ เราเป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์เจ้ามีความสะดวกสบายมากมาย แต่ความศรัทธาของเรากลับหยุดนิ่ง และชีวิตความเป็นคริสเตียนของเรายังอยู่ในวังวนของปัญหามากมาย ทางออกก็คือ จงรื้อฟื้นความศรัทธาความเชื่อและส่งต่อความศรัทธาออกไป แล้วคุณจะพบว่า คุณสามารถรับมือกับทุกสิ่งที่เข้ามาในชีวิตได้ คุณจะดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างคนชอบธรรมของพระเจ้า คริสตจักรยุคแรกอยู่รอดได้ด้วยการส่งต่อไม้ผลัดแรกจากพระเยซูคริสต์เจ้าไปสู่คนรุ่นต่อจากเขา และคริสตจักรตลอดสองพันปีก็อยู่รอดมาจนถึงเราทั้งหลายในวันนี้ คำถามก็คือว่า เราจะอยู่รอดต่อไปได้อย่างไร คำตอบคือ ส่งต่อความศรัทธาไปยังคนรุ่นต่อไป นี่แหล่ะที่พระคัมภีร์เรียกว่า เริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ โรม 1:17 17 เพราะว่าในข่าวประเสริฐนั้น ความชอบธรรมของพระเจ้าก็ได้สำแดงออก โดยเริ่มต้นก็ความเชื่อ สุดท้ายก็ความเชื่อ ตามที่พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า คนชอบธรรมจะมีชีวิตดำรงอยู่โดยความเชื่อ
ชีวิตที่เกิดผลในพระคริสต์…รู้จักรับมือกับทุกเรื่อง
1.รับมือไม่ได้จึงหลงไปจากความเชื่อ
2.รับมือด้วยการส่งต่อความศรัทธา