“ความมั่นใจความรอด”
มีคำๆหนึ่ง ที่คนไทยคุ้นเคย คือคำว่า กฏแห่งกรรม คนไทยแทบทุกคนต่างยอมรับคำนี้ว่า ทุกคนหนีไม่พ้นกฏแห่งกรรม แต่มีใครเคยถูกถามว่า คุณมีวิธีไหนที่จะพ้นจากกฏแห่งกรรมบ้าง บางคนอาจเคยถูกถาม และบางคนอาจตอบคือ ทำดี ทำบุญ ทำกุศล แต่ว่า จะมีใครที่จะตอบว่า มีความมั่นใจว่า ได้พ้นจากกฏแห่งกรรมแล้ว
กฏแห่งกรรม คือสิ่งที่เราทำ แล้วเราต้องรับผิดชอบต่อผลจากการกระทำของเรา ไม่ว่าจะดีหรือเลว จะเร็วหรือช้า สิ่งเหล่านั้นจะสะท้อนกลับมาหาตัวเรา ทั้งในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ และหลังจากเราตายไป คนไทยเราใช้คำว่า ชดใช้กรรม สำหรับคริสเตียนเรียกว่า ชดใช้บาป แต่ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับคริสเตียน เรารู้ว่า บาป ไม่มีวันชดใช้หมด ไม่มีวันจบ คริสเตียนเชื่อว่า มีความตายเพียงแค่สองครั้ง ไม่มีโอกาสชดใช้บาปแน่นอน สำหรับคนพุทธ มีคำว่า เวียนว่ายตายเกิดเพื่อชดใช้กรรม ความหมายก็คือ ไม่จบ ไม่หมดเช่นกัน
พระคัมภีร์มีอีกคำ คือคำว่า สารภาพบาป คือการรับการยกโทษให้อภัย เพื่อจะไม่ต้องชดใช้บาป ไม่ใช่แค่การลดโทษ แต่คือการให้อภัยโทษ ไม่ต้องรับโทษอีกเลย
ในศาลสถิตยุติธรรม การสารภาพบาป ถูกนำมาใช้เพื่อลดโทษลง อาจจะกึ่งหนึ่ง หรือเท่าไหร่ก็แล้วแต่ศาลจะกรุณา กฏแห่งกรรมที่ถูกบังคับด้วยกฏหมาย ยังมีช่องของความกรุณต่อ ผู้สารภาพ ได้รับการให้อภัย และผู้ที่ยอมติดอยู่ในคุก เมื่อไม่นานนี้ก็ได้รับการอภัยโทษ จากพระมหากษัตริย์ ผู้เป็นประมุขสูงสุดของประเทศไทย
พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการให้อภัยโทษของพระเจ้า ดังนี้
อิสยาห์ 43:25 25 “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้
อิสยาห์ 1:18 18 พระเจ้าตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ
แปลความว่า พระเจ้าให้โอกาสที่คนจะสารภาพบาป ต่อพระองค์ และพระองค์พร้อมจะชำระการอธรรมทั้งสิ้นของคนนั้น ให้สะอาด เหมือนไม่เคยทำผิดมาก่อนเลย พระเจ้าทรงทำได้ แต่…
1ยอห์น 8-10 8 ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็ลวงตนเอง และสัจจะไม่ได้อยู่ในเราเลย9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น10 ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย
กฏแห่งกรรม เป็นกฏหมายสูงสุดของมนุษย์ทุกชนเผ่า ทุกภาษา ทุกเชื้อชาติ ที่จะต้องรับผิดชอบ ต่อหน้าบัลลังค์พิพากษาสูงสุดของพระเจ้า
คำตอบของคริสเตียนควรเป็น ความมั่นไจว่า คุณจะรอดจากกฏแห่งกรรมแน่นอน แต่ทำไม จึงมีคริสเตียนบางคน ไม่มั่นใจในความรอด
สาเหตุก็เพราะคริสเตียนบางคนยังคิดว่า ความรอดขึ้นอยู่การกระทำบาป หรือไม่กระทำบาป เลิกได้ หรือเลิกไม่ได้ พอพูดถึงตอนนี้ ก็มี คริสเตียนหัวหมอบางคนก็จะกล่าวว่า ถ้ารอดได้โดยไม่พึ่งการกระทำของตนเอง ไปรับผิดต่อพระเจ้าหน้าบัลลังค์พิพากษาแล้วรับการให้อภัย โดยผ่านทางพระเยซูคริสต์ ก็ยังรอดอยู่ดี งั้นตอนนี้ ทำบาป ให้มันสะใจไปเลย…ใช่หรือ ทำได้ หรือ
ในชั้นศาลของมนุษย์ ยังมีคำว่า กรรมส่อเจตนา ในชั้นศาลของพระเจ้า ยิ่งเข้มงวดในเรื่องนี้แน่นอน และพระองค์ทรงสัพพัญญู ล่วงรู้ทุกสิ่ง ไม่มีสิ่งใดสามารถปกปิดไปจากสายพระเนตรของพระเจ้าได้ พระคัมภีร์กล่าวว่า พระเจ้าทรงตรวจสอบดูจิตใจของมนุษย์ (อย่างเข้ม)
ความมั่นใจในความรอดของคริสเตียนอยู่ที่ไหน?
ฮีบรู 11:1,6 1 ความเชื่อคือความแน่ใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นความรู้สึกมั่นใจว่า สิ่งที่ยังไม่ได้เห็นนั้นมีจริง….6 แต่ถ้าไม่มีความเชื่อแล้ว จะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าก็ไม่ได้เลย เพราะว่าผู้ที่จะมาเฝ้าพระเจ้าได้นั้น ต้องเชื่อว่าพระองค์ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และพระองค์ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จให้แก่ทุกคนที่แสวงหาพระองค์
ความรอดเป็นสิ่งที่ไม่มีทางเป็นไปได้ ไม่มีจริง ยกเว้นด้วยความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงสามารถทำให้เกิดมีจริงได้
มัทธิว 19:23-26 23 พระเยซูตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า คนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินสวรรค์ก็ยาก24 เราบอกท่านทั้งหลายอีกว่า ตัวอูฐจะลอดรูเข็มก็ง่ายกว่าคนมั่งมีจะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้า”25 เมื่อพวกสาวกได้ยินก็ประหลาดใจมาก จึงทูลว่า “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้”26 พระเยซูทอดพระเนตรดูพวกสาวก และตรัสว่า “ฝ่ายมนุษย์ก็เหลือกำลังที่จะทำได้ แต่พระเจ้าทรงกระทำให้สำเร็จได้ทุกสิ่ง”
ความเชื่อ อย่างที่พระคัมภีร์ฮีบรู บทที่ 11 จึงเป็นกุญแจสำคัญอย่างยิ่ง และเสริมโดยยากอบได้กล่าวว่า
ยากอบ 2:14,19,24,26 14 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า แม้ผู้ใดจะว่าตนมีความเชื่อ แต่ไม่ประพฤติตามจะได้ประโยชน์อะไร ความเชื่อของเขาจะช่วยเขาให้รอดได้หรือ…19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น….24 ท่านทั้งหลายก็เห็นแล้วว่า ผู้ใดจะเป็นคนชอบธรรมได้ ก็เนื่องด้วยการประพฤติ และมิใช่ด้วยความเชื่อเพียงอย่างเดียว….26 เพราะกายที่ปราศจากจิตวิญญาณนั้นไร้ชีพแล้วฉันใด ความเชื่อที่ปราศจากการประพฤติตามก็ไร้ผลฉันนั้น
ยากอบ 1:2-3 2 ดูก่อนพี่น้องของข้าพเจ้า เมื่อท่านทั้งหลายประสบความทุกข์ยากลำบากต่างๆ ก็จงถือว่าเป็นเรื่องน่ายินดี3 เพราะท่านทั้งหลายรู้ว่า การทดลองความเชื่อของท่านนั้น ทำให้เกิดความหนักแน่นมั่นคง
ความเชื่อของคริสเตียนต้องถูกทดสอบ และคริสตจักรยุคแรกก็ถูกทดสอบ จนถึงคริสตจักรยุคต่อๆมา จนถึงยุคของเราก็ยังต้องถูกทดสอบความเชื่อ เพียงแต่ว่า รูปแบบการทดสอบอาจเปลี่ยนไป แต่ทั้งหมดก็คือการถูกกดดันให้เลิกเชื่อ แต่การผ่านการทดสอบคือยังรักษาความเชื่อเอาไว้ แรงกดดัน คือ การสร้างความหนักแน่นมั่นคง
จำเป็นไม๊ ที่เราจะต้องมีกันและกัน เรามีกันและกันไว้เพื่ออะไร เพื่อเราจะทำผิดต่อกัน และเพื่อเราจะสารภาพบาปต่อกันและกัน ไม่ติดค้างกันไปจนถึงบัลลังค์ของพระเจ้า บางคนตายไปก่อน โดยไม่ได้รับการชำระ ตายไปพร้อมกับความทรงจำที่ขมขื่น นั่นคือ การเป็นหนี้ที่ต้องไปรับผิดชอบในชีวิตหลังความตาย
โรม 13:8 8 อย่าเป็นหนี้อะไรใคร นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักเพื่อนบ้าน ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว
คนบางคนมีโอกาสก่อนตาย รู้ตัว ก็รีบอโหสิกรรมให้กับหลายคน และเป็นการขอการรับการยกโทษจากพระเจ้าด้วย พระเยซูทรงสอนเรื่องการอธิษฐาน มีตอนหนึ่งเกี่ยวกับการยกโทษให้กับคนอื่นเหมือนที่พระเจ้ายกโทษให้กับตนเอง (คือไม่ต้องรอการทำดีแล้วได้รับการยกโทษ) เป็นการไม่ติดค้างไปจนถึงตอนอยู่หน้าบัลลังค์พิพากษาของพระเจ้า
มัทธิว 6:12 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น
ความรอด คือปัจจุบัน ไม่ใช่อนาคต และพระเยซูคริสต์ได้นำความรอดมาถึงเราทุกคนแล้ว จงใช้ความรอดให้เป็นปัจจุบัน ด้วยการยกโทษให้อภัยกันและกัน สารภาพบาป ต่อกันและกัน เพื่อสุขภาพที่ดีต่อจิตใจ และจิตวิญญาณ จนมั่นใจที่จะรับความรอดในอนาคต
ยอห์น 3: 16-18 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
และบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะเข้ามาในตอนนี้ คือความมั่นใจในการเป็นบุตรของพระเจ้า
โรม 8:14-15 14 เพราะว่าพระวิญญาณของพระเจ้าทรงนำผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นบุตรของพระเจ้า 15 เหตุว่าท่านไม่ได้รับน้ำใจทาสซึ่งทำให้ตกในความกลัวอีก แต่ท่านได้รับพระวิญญาณผู้ทรงให้เป็นบุตรของพระเจ้า ให้เราทั้งหลายร้องเรียกพระเจ้าว่า “อับบา” คือพระบิดา
1ยอห์น 4:18 18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ จะยืนยันว่า เรายังเป็นบุตรของพระเจ้า ที่พระเจ้าทรงรัก การเคลื่อนไปโดยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จะทำให้เรามั่นใจว่า สิ่งที่เราทำนั้น เป็นน้ำพระทัยพระเจ้า ไมได้เกิดจากเนื้อหนังของเราเอง
1ยอห์น 4:16-17 16 ฉะนั้นเราทั้งหลายจึงรู้ และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น17 ในข้อนี้แหละ ความรักของเราจึงสมบูรณ์ เพื่อเราทั้งหลายจะได้มีความมั่นใจในวันพิพากษา เพราะว่าพระองค์ทรงเป็นเช่นไรเราทั้งหลายในโลกนี้ก็เป็นเช่นนั้น
ความมั่นใจในความรอด ในขณะที่เรายังมีชีวิตอยู่ จนถึงวันที่พระเยซูเสด็จมา และอยู่ต่อหน้าบัลลังค์พิพากษาของพระเจ้าอย่างมั่นใจในความรอด อาเมน
คุณมี…..ความมั่นใจในความรอดแล้ว….หรือยัง?