ชีวิตใหม่เพื่อหัวใจจะแข็งแรง

ทำไมคต.จึงดูอ่อนแอ?

ยน.14:1“อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย

นี่คือคำตรัสของพระเยซูกับสาวกของพระองค์

พระเยซูเตรียมใจสาวกในเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

…พระองค์รู้ว่าเหตุการณ์ที่จะทำให้สาวกหวั่นไหวคือ..การเดินไปสู่กางเขนของพระเยซู

และพระองค์ยังรู้อีกว่า…พวกเขาต้องเผชิญกับการต่อต้านขนาดไหนหลังจากนั้น…แม้มีคนยอมรับพระคริสต์ตามพวกเขาแล้วก็ตาม

💭 ในยุคเราที่เป็นสาวก อะไรทำให้เราหวั่นไหว?

ยุคนี้เป็นยุคที่ความเชื่อถูกเขย่าอย่างรุนแรง…ทั้งมุมบวกและมุมลบของชีวิต

ทั้งบทบาทการรับใช้และบทบาทการใช้ชีวิตคริสเตียนธรรมดา

ข่าวเกือบทุกข่าวมีที่มาจากการใช้ชีวิตบนความวิตกกังวล

: 25/9/62 ดาราชายเหม..นิสิตปี 1 นิติศาสตร์จุฬาผูกคอตาย

: พ่อแม่รมควันตัวเองในรถพร้อมลูก

: นศ. กระโดดตึกตาย 6 รายใน 1เดือนเมื่อกลางปี62

: เด็กนักเรียนหญิง ม.3 ผูกคอลาโลก ได้โควต้าเรียนต่อ ว.การอาชีพ แล้วหาเงินลงทะเบียนเรียนไม่ได้26/9

: ในวันศุกร์ ที่ 20 กันยายนนี้ จนถึงวันนี้ นร.และนศ.เกือบทั่วโลกจะมีการชุมนุมด้านสิ่งแวดล้อมกัน ซึ่งที่เมืองนิวยอร์ก ในสหรัฐฯ ก็ได้ประกาศว่า นักเรียนกว่า 1.1 ล้านคนในโรงเรียนรัฐ สามารถโดดเรียนไปร่วมชุมนุมได้ และจะไม่ถูกทำโทษ …….เริ่มโดยGreta Thunberg นักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมวัย 16 ปีชาวสวีเดน

: นร.นศ.ร่วมประท้วงกรณีในฮ่องกง

สาวกพระเยซูคริสต์ยุคนี้ ควรจะวิตกกังวลเรื่องอะไรมากที่สุด?

เรากำลังวิตกกังวลเรื่องอะไร?

สำหรับชีวิตหลังความตาย … เราไม่ต้องหวั่นไหว..

ยน.14:2ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีคฤหาสน์หลายแห่ง ถ้าไม่มีเราคงได้บอกท่านแล้ว เราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านทั้งหลาย

 

การแยกจากพระเจ้า … เราไม่ต้องหวั่นไหว

3และถ้าเราไปจัดเตรียมที่ไว้สำหรับท่านแล้ว เราจะกลับมาอีกรับท่านไปอยู่กับเรา เพื่อว่าเราอยู่ที่ไหนท่านทั้งหลายจะอยู่ที่นั่นด้วย

สิ่งที่เราต้องหวั่นไหวคือ? ….ความวิตกกังวล..ขณะที่เราอยู่ในโลก

ถ้าเรายังวิตกกังวลวนเวียนอยู่แค่ตัวเรา.>>.เราก็ทำเพื่อคนอื่นยาก…เพื่อพระคริสต์จริงๆ…อาจยากยิ่งกว่า

ยน.14:1“อย่าให้ใจท่านทั้งหลายวิตกเลย ท่านเชื่อในพระเจ้า จงเชื่อในเราด้วย

 

พระองค์จึงบอกเคล็ดลับในการดำเนินชีวิตอย่างไม่มีกังวลด้วยการ “ยืนหยัดอยู่ในพระคำ”

1ธส2:1313เพราะเหตุนี้เราจึงขอบพระคุณพระเจ้าไม่หยุดหย่อน เพราะว่าเมื่อท่านทั้งหลายได้รับพระวจนะของพระเจ้าซึ่งท่านได้ยินจากเรา ท่านไม่ได้รับไว้อย่างเป็นคำของมนุษย์ แต่ได้รับไว้ตามความเป็นจริง คือเป็นพระวจนะของพระเจ้า ซึ่งกำลังทำงานอยู่ภายในท่านทั้งหลายที่เชื่อด้วย

2ทธ.2:1515จงหมั่นศึกษาค้นคว้าเพื่อสำแดงตนเองให้เป็นที่ชอบพระทัยพระเจ้า เป็นคนงานที่ไม่ต้องละอาย แยกแยะ(ใช้)พระวจนะแห่งความจริงนั้นได้อย่างถูกต้อง

ยก.1:22  22แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการล่อลวงตนเอง

1ปต.2:8..‘เป็นศิลาที่ทำให้สะดุด และเป็นก้อนหินที่ทำให้ขุ่นเคืองใจ’ ที่เขาสะดุดนั้นเพราะเขาไม่เชื่อฟังพระวจนะ ตามที่เขาถูกกำหนดไว้เช่นนั้นด้วย

(การไม่เชื่อพระวจนะ..แม้พระเจ้า  เราก็สะดุดได้)

 

แต่ทำไมดูเหมือน คริสเตียน ก็ทำได้ยากทั้งๆที่…เราควรทำได้เพราะ……พระคำกล่าวว่า

2คร.5:17 17เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งเก่าๆก็ล่วงไป ดูเถิด สิ่งสารพัดกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น

 

การถูกสร้างใหม่แบบหนอนผีเสื้อ

…Metamorphosis = การเปลี่ยนรูป / เปลี่ยนพฤติกรรม / เปลี่ยนวิถีชีวิต

และทั้งหมดเกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงความคิด

 

แต่เราก็ยังเต็มไปด้วยความวิตกกังวลแบบชีวิตเก่า….และดูเหมือนบางทีกลับอ่อนแอกว่าเดิม…สะดุดง่าย..น้อยใจง่าย…ไม่สู้ต่อความลำบากฯ

 

สาเหตุเพราะ?…

ผลการสะสมความเชื่อจากโลกที่บอกกับเรา(มนุษย์) รุ่นแล้วรุ่นเล่า…ซ้ำแล้วซ้ำอีก…จนกลายเป็นเสมือนธรรมชาติของเรา(มนุษย์)…ทางความคิด ความรู้สึก อารมณ์ ….ที่ยังคงอยู่….และใช้อยู่

 

เมื่อ”ความเชื่อในข้อมูลแบบเดิม”..ไม่ถูกปฏิเสธก่อนเดินในพระคำ…จะเกิดความวิตกกังวลเมื่อ ใช้พระคำ….และเกิดอาการจิตตก คือวิตกกังวล•…

ตย….

 

โดยลืมไปว่า…ทุกสิ่งที่อยู่ในหัวเรานั้นคือ..สิ่งจากก่อนมีชีวิตใหม่

 

พระคำจึงกล่าวว่า

รม.12:2อย่าทำตามอย่างชาวโลกนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจเสียใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบพระประสงค์ของพระเจ้าว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย และอะไรดียอดเยี่ยม

 

เราไม่สามารถรับการเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเรายังรักที่จะทำแบบเดิม

เราไม่สามารถสวมสิ่งใหม่ได้เมื่อเราไม่ถอดสิ่งเก่าทิ้ง

อฟ4:22-24 จงทิ้งตัวเก่าของท่านแล้วสวมสภาพใหม่

 

ดังนั้น…สิ่งที่เป็นอุปสรรคสำคัญในการเปลี่ยนแปลงความคิดในชีวิตคริสเตียนให้มั่นใจและเชื่อฟังพระวจนะได้ยากคือ

“การตกอยู่ในอิทธิพลของสถานการณ์หรือสิ่งแวดล้อม …หรือทั้งสองอย่าง”…ซึ่งสิ่งนี้ถูกสรุปอยู่ในหลักการวิทยาศาสตร์..กฎของโลก

 

ถ้าผู้เชื่อยังมั่นใจในกฏของโลก

หัวใจของผู้เชื่อ ..จึงแสนอ่อนแอ

 

กฏของโลกเป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์…ซึ่งในดานความคิดมักอยู่ในหัวข้อ “จิตวิทยา”

: เชื่อว่า…อารมณ์คือผลพลอยได้จากสิ่งแวดล้อมหรือสถานการณ์

เมื่อenvironment/circumstance มากระทบใจเรา +อารมณ์ …จะเกิด action

และผลพลอยได้ของการแสดงออก(อารมณ์)…จะไปสร้างบุคลิกลักษณะ…และลงไปจับยีนส์ในตัวเรา..และเกิดการสร้างลักษณะความเชื่อว่าตนเกิดมาเป็น”เหยื่อ” เข้ามาในชีวิตภายในและเกิดการป้องกันตนเองขึ้น…แสดงออกด้วยการมีอาการของ….นิสัยที่ชอบตำหนิคนอื่น , ตำหนิสังคม , พยายามเอาตัวรอดทุกวิธี..เพื่อปกป้องตัวเอง

คนที่เป็นเหยื่อของ กฏของโลก…..จะรักที่จะblameคนอื่น…ดูเหมือนให้คนอื่นเป็นเหยื่อแทน..เพื่อทำให้ตัวเองรู้สึกออกจากความแย่ๆในเรื่องนั้น

เมื่อเราเป็นเหยื่อ….เราจะเดินแบบผู้มีชัยชนะตามพระคำได้อย่างไร?

ความแตกต่างระหว่างกฏของโลกกับ พระคำ คือ ….

กฏของโลกบอกว่าเราเป็นผู้ตอบสนอง แต่ พระคำให้เรามีสิทธิ์เลือก

ถ้าเราเชื่อว่า..ตอนนี้เราติดเหล้า (ผลจากร่างกายที่ชินกับแอลกอฮอล์ environment +circumstances ).. เราก็จะเลิกไม่ได้เลย …….ตย.คนติดเหล้าที่ไนท์ไลท์

ถ้าเราเชื่อว่า..ความจนไม่สามารถมีเกียรติ..เราจะรู้สึก”อาย”เมื่อเรารู้สึกว่า ตอนนี้ไม่มีเงินเท่าเพื่อนวัยเดียวกัน…แม้เราพยายามใส่เหตุผลให้ตัวเองในด้านความเชื่อในพระเจ้าก็ตาม..อาจพอช่วยได้บ้างชั่วคราว…เราอาจมาโบสถ์ได้ทุกอาทิตย์..แต่เรามาด้วยอารมที่ห่อเหี่ยวและเงิน ยังสามารถปั่นใจเราได้ไม่มีวันหยุดอยู่ดี

เราจะมีชีวิตที่สามารถทำทุกอย่างที่ได้เงิน…..แม้สิ่งนั้นจะนำไปสู่การไร้เกียรติก็ตาม

เมื่อความคิด ความเชื่อเราถูกกระทบจากenv/cirm มากเข้า…ผลทางระบบเคมีในร่างกายก็ถูกสวิงและส่งให้อารมณ์เกิดการเปลี่ยนแปลงจนรู้สึกควบคุมไม่ได้..เมื่อสิ่งนั้นมากระทบใจอีก

เมื่อเราจะแก้ไขด้วยกฏของโลก โลกบอกเราให้รู้ว่ามนุษย์ ตอบสนองสิ่งเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง … จริงแค่บอกเท่านั้น..และหลายครั้งการแก้ไขกฏของโลกคือการ “หลอกตัวเอง” โดยการปฏิบัติเหมือนการสร้าง“ความเชื่อ”(ตามความเชื่อในพระคำของคต.) เช่น..การสร้างความรู้สึกมั่นใจด้วยการแต่งตัวดี …ใช้ของแพงขึ้น เพื่อให้ตนเองมีความมั่นใจ…

ความเชื่อในพระคำ ต่างกับความเชื่อกฏของโลก..ตรงที่ ต้นกำเนิด…..จากพระเจ้า(ความจริง)…หรือแค่ความรู้ของมนุษย์(ความจำกัด)

พระคำ…บอกทุกสิ่งเป็นสิ่งใหม่..ไม่ใช่แค่ความเชื่อที่สร้างขึ้น ..แต่เป็นความจริงจากJe.

พระคำให้พูดกับตัวเอง..ชมตัวเองบนความจริงของพระคำที่พระเจ้ามองเรา….ไม่ใช่ตามองเห็น …ไม่ใช่การสร้างความคิดที่โกหกขึ้น

 

ความแตกต่างในการบอกตัวเองถึงคุณค่าของตนโดยพระคำ/โดยกฏของโลก

 

ส่วนกฏของโลก : แก้ไข…ด้วยกำลังมนุษย์เท่านั้น…สร้างความคิดหลอกลวงเพื่อออกจากปัญหา กรณี …..แพรวา

 

แต่เรามักเชื่อวิทยาศาสตร์มากกว่า..เราเชื่อว่าวิทยาศาสตร์จับต้องได้ เป็นความจริงที่มีเหตุผลถูกต้อง พิสูจน์แล้วแต่จริงๆแล้ว ..ไม่ได้ทั้งหมด..และไม่จริงเสมอไปทุกอย่าง

ตย.

สูตรทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างขึ้นเกิดจากการสร้างภาพสมมุติในสิ่งที่จับต้องไม่ได้..1+1=2 ….แต่สำหรับพระเจ้า 1-1=2 (กฏการให้) 1+1= big one (ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน)

เรขาคณิตจะลงท้ายว่า ซตพ….ต้องพิสูจน์ แต่สำหรับพระคำ ..ทำให้เราเป็นไท

คนยุค80 กลายเป็นคนไม่มีระเบียบเพราะมีแนวความคิดจิตวิทยาเด็กในช่วงนั้นออกมาว่า …ให้เสรีภาพกับเด็กอย่างไม่จำกัดจะเกิดปัญญา จนเมื่อกลายเป็นผู้ใหญ่ ..กลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่มีวินัย ความอดทน เอาแต่ใจ..จนผู้เสนอทฤษฎีนี้ออกมาขอโทษถึงทฤษฎีที่สร้างขึ้น..แต่คนรุ่นหนึ่งก็สายไปแล้ว

แต่พระคำ …จงฝึกเด็กให้เดินในทางชอบธรรม….ถ้าเราไม่ฝึกเขา..เราไม่มีสิทธิ์ประเมินเขาเลย

ถ้าไม่สั่งสอนเรื่องความซื่อสัตย์…อย่าประเมินความสัตย์ซื่อจากเขา

 

…ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์จึงเป็นอุปสรรคต่อความเชื่อในพระคำพระเจ้าเห็นได้จาก….

เรามักเชื่อว่า ถ้าenv/cir เปลี่ยน..เราถึงจะเปลี่ยนนิสัย หรือ ไม่มีอารมณ์ร้ายได้

เราจึงมักอยากควบคุมทุกสิ่ง..เพื่อเราจะไม่สวิงกับอารมณ์ที่ตอบสนอง

เรามักยกโทษยาก เมื่อคนที่ทำผิดกับเราไม่เปลี่ยนแปลง

เรามักบอกว่าเราถูกสร้างมาเป็นคนแย่ๆแบบนี้..นิสัยแบบนี้ ..ส่งผลจากยีนส์ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้….แต่จริงๆแล้ว คนนิสัยแย่ๆแบบเรา……เกิดจากการตอบสนองของเราต่อพ่อแม่ครอบครัวสิ่งแวดล้อมตั้งแต่วัยเด็ก

 

เรามักพยายามยกตัวเองขึ้น เพื่อเราจะได้ใช้เป็นพลังในความสำเร็จ

หรือเหยียบคนอื่นลงเพื่อตัวเองจะสูงขึ้น

พระคำให้เราถ่อมใจ เพื่อให้พระองค์ยกเราขึ้น

จิตวิทยาสอนการให้รางวัลเป็นการสร้างแรงจูงใจ

พระเจ้าสอนให้ความรักเป็นพลัง

 

จิตวิทยาสอนให้ตัวเองปฏิบัติเพื่อความสำเร็จด้วยตัวเอง

พระคำ สอนให้เราปฏิบัติด้วยท่าทีและวิธีที่ถูกต้อง เพราะพระเจ้าจะทำให้เราสำเร็จ

 

เมื่อเรายังยึดสิ่งที่โลกสอน …. เราก็จะไม่มีวันออกจากความวิตกกังวลในขณะที่กำลังเดินกับพระเจ้า…และยังคงเหนื่อย..และอาจเหนื่อยยิ่งกว่าในการมีชีวิตคต.

 

สิ่งสำคัญที่สุดคือ

จิตวิทยา: สอนเราว่ามนุษย์มีชีวิตคอยตอบสนอง..ถ้าเรายึดไว้…เราจะไม่สามารถแหกกฏการตอบสนองได้เลย…เพื่อเข้าสู่ความเชื่อฟังในพระคำ

พระคำ : สอนเราว่า มนุษย์มีอิสระในการเลือกเราจะแหกกฏเดิมได้ ไม่ยาก…ทำให้เรามั่นใจว่าเราเชื่อฟังพระคำพระเจ้าได้ง่าย

เราเคยคิดไหมว่า …ทำไมเราจึงเหมือนกลายเป็นเหยื่อของโลกเมื่อเดินในวิธีของพระเจ้า….เพราะเราไม่เชื่อว่าเราจะแหกกฏโลกได้

 

แต่เปาโลมีอิสระในการเลือกที่จะมองเขากับพระเจ้าอย่างอิสระเหนือสถานการณ์

ตย.กจ.16:,22-25-27เปาโลติดคุกทีฟิลิปปี ถูกเฆี่ยนก่อนแต่ ยังสรรเสริญพระเจ้าจนคุกสะเทือน

 

สรุป…แต่เมื่อเราเชื่อว่า เราแหกกฏโลกได้ ด้วยเสรีภาพที่พระเจ้าให้แล้ว…เราจะยอมอยู่ข้างพระวิญญาณ..และให้ผลพระวิญญาณเติบโตขึ้น…ด้วยความเชื่อมั่นและไม่เก็บความขมขื่น

 

ฟป.4:4-7,13

4จงชื่นชมยินดีในองค์พระผู้เป็นเจ้าทุกเวลา ข้าพเจ้าขอย้ำอีกครั้งว่า จงชื่นชมยินดีเถิด 5จงให้ความอ่อนสุภาพของท่านประจักษ์แก่คนทั้งปวง องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้แล้ว 6อย่าทุกข์ร้อนในสิ่งใดๆเลย แต่จงทูลเรื่องความปรารถนาของท่านทุกอย่างต่อพระเจ้า ด้วยการอธิษฐาน การวิงวอน กับการขอบพระคุณ 7แล้วสันติสุขแห่งพระเจ้า ซึ่งเกินความเข้าใจทุกอย่าง จะคุ้มครองจิตใจและความคิดของท่านไว้ในพระเยซูคริสต์

 

13ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า

By admin