“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…สำแดงชีวิตสดใหม่”
นักโภชนาการหรือกลุ่มแพทย์ที่ให้ความสนใจเรื่องสุขภาพในยุคของเราทุกวันนี้ ต่างยอมรับว่า อาหารคือสิ่งที่จะทำให้เรามีอายุยืนหรือหรือทำให้เรามีอายุสั้น สิ่งที่เรากินเข้าไปมีผลต่อสุขภาพของเรา จนมีประโยคหนึ่งกล่าวว่า อาหารอายุยืนกินแล้วอายุสั้น อาหารอายุสั้นกินแล้วอายุยืน อาหารอายุยืนคืออาหารที่ผ่านกระบวนการที่ทำให้เก็บได้นาน แต่อาหารอายุสั้น อยู่ได้ไม่นานก็จะเน่าเสีย
คนที่กำลังให้ความสนใจ ใส่ใจกับเรื่องสุขภาพก็จะรู้จักคำว่า อาหารคลีน (Clean food) คืออาหารที่ปรุงสดใหม่ อาหารที่ไม่มีการปรุงรสมาก รักษารสธรรมชาติของอาหารนั้นๆ นี่คืออาหารที่ทำให้อายุยืน อาหารที่ทำให้คนกินมีสุขภาพดี แข็งแรง หลักการก็คือ ความสดใหม่ ในพระคัมภีร์ได้กล่าวถึงเรื่องของอาหารที่มีความสำคัญต่อชีวิต เมื่อครั้งที่พระเยซูทรงอดอาหารอธิษฐานถึง 40 วัน มารมาทดลองพระเยซูอันแรก คือเรื่องของอาหาร พระคัมภีร์ได้บันทึกว่า พระเยซูทรงหิวมาก
มัทธิว 4:1-4 1 ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาผจญ2 และพระองค์ทรงอดพระกระยาหารสี่สิบวันสี่สิบคืน ภายหลังพระองค์ก็ทรงอยากพระกระยาหาร3 ส่วนผู้ผจญมาหาพระองค์ทูลว่า “ถ้าท่านเป็นพระบุตรของพระเจ้า จงสั่งก้อนหินเหล่านี้ให้กลายเป็นพระกระยาหาร”4 ฝ่ายพระองค์ตรัสตอบว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ ”
มารทดลองพระเยซูด้วยเรื่องกิน ขณะที่พระเยซูทรงหิวมากเพราะอาหารไม่ได้ตกถึงท้องเป็นเวลาสี่สิบวัน มารตั้งคำถามชี้นำต่อพระเยซูว่า ถ้าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า ก็จงสั่งให้ก้อนหินกลายเป็นขนมปัง ทำไมพระเยซูจึงไม่ทำตามที่มารแนะนำ แต่ทรงยอมหิวดีกว่าเชื่อฟังมาร แม้คำแนะนำของมารจะดีและทำได้ แต่คำแนะนำนั้นมาจากมาร ที่เรียกว่าการทดลอง ประเด็นอยู่ตรงนี้ มารต้องการให้พระเยซูใช้สิทธิอำนาจของพระองค์สนองต่อความอยากของร่างกายของพระองค์ พระเยซูไม่ตอบสนองคำแนะนำนี้ พระเยซูทรงตอบโต้การชี้นำของมารด้วยพระวจนะของพระเจ้าที่ว่า “มีพระคัมภีร์เขียนไว้ว่า ‘มนุษย์จะบำรุงชีวิตด้วยอาหารสิ่งเดียวหามิได้ แต่บำรุงด้วยพระวจนะทุกคำ ซึ่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า’ ” ในตอนนี้ พระเยซูพูดคำว่า พระวจนะ ด้วยคำกรีกว่า เรมาห์ ที่ออกมาจากพระโอษฐ์ (ปาก)ของพระเจ้า นี่คือความสดใหม่ ไม่ใช่ถ้อยคำที่บันทึกไว้แล้วล่วงหน้า แต่เป็นคำพูดสดๆ เราไม่มีวันที่จะรู้ก่อนว่า พระเจ้าจะพูดอะไร (เรมาห์ คือสิ่งที่ออกมาเวลานั้น และคนที่จะรู้คือคนฟัง รู้สึกโดนๆ) ข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า ข้าพเจ้าไม่รู้ว่า เรมาห์จะมาเมื่อไหร่ แต่พวกคุณที่ฟัง แล้วโดน พวกคุณคือคนที่รับเรมาห์ โลกอส คือถ้อยคำในพระคัมภีร์ที่เราอ่าน แต่เรมาห์คือถ้อยคำที่ออกมาจากถ้อยคำอีกที เรมาห์คือความสดใหม่ ที่จะทำให้ชีวิตการเป็นคริสเตียนของเราสดใหม่ จิตวิญญาณของเราต้องการอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่สดใหม่ (เรมาห์) คือ คลีนฟู้ดฝ่ายวิญญาณ และน่าสนใจมากว่า อ.เปาโลได้เขียนตอนหนึ่งในหนังสือหนึ่งทิโมธีว่า
1ทิโมธี 4:12 12 อย่าให้ผู้ใดหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์
เราเข้าใจว่า จดหมายฉบับนี้ เขียนถึงหนุ่มน้อยที่ชื่อทิโมธี เพื่อจะหนุนใจการรับใช้ในบทบาทศิษยาภิบาลของเขา และข้อความตอนนี้ เป็นที่รู้จักของคริสเตียนทุกคนว่าหมายถึงอายุ แต่มาดูคำว่า ความหนุ่มแน่น (อย่าให้ใครประมาท) ในภาษากรีก นีโอเทส (ซึ่งใช้กับอายุ) การเรียกอายุของคนหนุ่มในภาษากรีกคำนี้ มาจากรากศัพท์คำว่า นีออส แปลว่า ใหม่ ถ้าใช้กับอายุ ก็หมายถึงคนอายุน้อย ถ้าใช้กับอาหารและเครื่องดื่ม ก็แปลว่า ความสดใหม่ (Fresh new) เปาโลกำลังสอนทิโมธีว่า อย่าให้ใครหมิ่นประมาทความหนุ่มแน่นของท่าน นั่นหมายความว่า อย่าเป็นแต่อายุน้อยเท่านั้น แต่จงเป็นแบบอย่างแก่คนที่เชื่อทั้งปวง ทั้งในทางวาจาและการประพฤติ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์ ในความรัก ในความเชื่อ และในความบริสุทธิ์ (ในภาษากรีก ใช้ห้าด้าน)
in word(Logos), ตรงนี้ หมายถึงถ้อยคำของตัวเราเอง รวมถึงความคิด
in conversation, การกระทำ ที่ตอบสนอง
in love, แบบอากาเป้
in faith ความเชื่อที่ไว้วางใจ
and in purity (cleanliness). ความสะอาด
มีคำหนึ่งที่พูดว่า อายุเป็นเพียงตัวเลข เรามักจะมองที่เรื่องหน้าตา เช่นหน้าอ่อน แต่มีพระคัมภีร์สดุดีตอนหนึ่งได้กล่าวถึงอายุเป็นเพียงตัวเลข สำหรับคนอายุน้อย เมื่อเทียบกับ……
สดุดี 119:100 100 ข้าพระองค์เข้าใจมากกว่าคนสูงอายุ เพราะข้าพระองค์รักษาข้อบังคับของพระองค์
กษัตริย์ดาวิดเขียนถึงอายุที่ยังน้อย แต่ความเข้าใจไม่น้อยเลย นี่คือเป้าหมายที่อ.เปาโลที่กำลังบอกกับทิโมธีว่า อย่าเป็นแค่สดใหม่ในเรื่องของอายุ แต่จงมีความสดใหม่ในหกด้านของชีวิต (จึงจะเป็นคนที่จะสอนคนอื่นได้ นั่นคือ สอนด้วยชีวิต) คำพูด การกระทำ ความรัก ความเชื่อ และความไร้ตำหนิของชีวิต Purity
พระเยซูได้โต้ตอบกับพวกฟาริสีเรื่องการกินอาหารไม่ล้างมือ จะทำให้เป็นมลทิน (เราต้องเข้าใจว่า การล้างมือก่อนกินอาหารคืออนามัยที่ถูกต้องเรื่องความสะอาด และเป็นสิ่งที่ควรทำ แต่พวกฟาริสีเอาเรื่องการล้างมือมาทำให้เป็นพิธีกรรมขั้นตอนที่ยุ่งยากขึ้น ทำให้ดูมีความศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะเพื่อจะโจมตีสาวกของพระเยซู พระเยซูก็เลยตอบโต้แบบเรมาห์
มาระโก 7:1-8 1 ครั้งนั้น พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์บางคน ซึ่งได้มาจากกรุงเยรูซาเล็มพากันมาหาพระองค์2 เขาได้เห็นเหล่าสาวกบางคนรับประทานอาหารด้วยมือที่เป็นมลทิน คือมือที่ไม่ได้ล้างก่อน3 (เพราะว่าพวกฟาริสีกับพวกยิวทั้งสิ้นถือตามคำที่บรรพบุรุษสอนต่อๆ กันมานั้นว่า ถ้ามิได้ล้างมือตามพิธีโดยเคร่งครัด เขาก็ไม่รับประทานอาหารเลย4 และเมื่อเขามาจากตลาด ถ้ามิได้ทำพิธีชำระตัวก่อน เขาก็ไม่บประทานอาหารและธรรมเนียมอื่นๆ อีกหลายอย่างเขาก็ถือ คือล้างถ้วยเหยือกและภาชนะทองสัมฤทธิ์)5 พวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์จึงทูลถามพระองค์ว่า “ทำไมพวกสาวกของท่านไม่ประพฤติตามคำสอนที่ตกทอดมาจากบรรพบุรุษ แต่รับประทานอาหารด้วยมือเป็นมลทิน”6 พระองค์ตรัสตอบเขาว่า “อิสยาห์ได้พยากรณ์ถึงพวกเจ้าคนหน้าซื่อใจคด ก็ถูกตามที่ได้เขียนไว้ว่า ประชาชนนี้ให้เกียรติเราแต่ปาก ใจของเขาห่างไกลจากเรา 7 เขานมัสการเราโดยหาประโยชน์มิได้ ด้วยเอาบทบัญญัติของมนุษย์มาตู่ว่าเป็นพระดำรัสสอนของพระเจ้า 8 เจ้าทั้งหลายละธรรมบัญญัติของพระเจ้า และกลับไปถือตามถ้อยคำของมนุษย์ที่เขาสอนต่อๆ กันมานั้น”
พระเยซูตอบโต้พวกฟาริสีแล้ว พระองค์ก็สอนสิ่งที่ทำให้มนุษย์เป็นมลทินที่แท้จริง ก็คือการสิ่งที่ออกมาจากมนุษย์ อะไรที่เราป้อนให้กับจิตใจของเรา เนื้อหนังตอบสนองต่อสิ่งที่เราป้อนเข้าไปในจิตใจ
20 พระองค์ตรัสว่า “สิ่งที่ออกมาจากภายในมนุษย์ สิ่งนั้นแหละทำให้มนุษย์เป็นมลทิน
21 เพราะว่าจากภายในมนุษย์คือจากใจมนุษย์ มีความคิดชั่วร้าย การล่วงประเวณี การลักขโมย การฆ่าคน การผิดผัวผิดเมีย
22 การโลภ ความอธรรม การล่อลวงเขา ราคะตัณหา อิจฉาตาร้อน การใส่ร้าย ความเย่อหยิ่ง ความบัดซบ
23 สารพัดการชั่วนี้เกิดมาจากภายใน และทำให้มนุษย์เป็นมลทิน”
1ยอห์น. 2:16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก
เรากำลังป้อนอาหารที่สดใหม่ของจิตวิญญาณอย่างไร หรือเรากำลังป้อนอาหารของตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา ความทะนงที่มาจากโลกนี้ อาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่สดใหม่ที่กินแล้วไม่ตาย
ยอห์น6:27 27 อย่าขวนขวายหาอาหารที่เสื่อมสิ้นไป แต่จงหาอาหารที่ดำรงอยู่คืออาหารแห่งชีวิตนิรันดร์ ซึ่งบุตรมนุษย์จะให้แก่ท่าน เพราะพระเจ้าคือพระบิดาได้ทรงประทับตรามอบอำนาจแก่พระบุตรแล้ว”
ขีวิตฝ่ายร่างกายต้องการอาหารที่สดใหม่ ฉันใด ชีวิตฝ่ายวิญญาณยิ่งต้องการอาหารฝ่ายวิญญาณที่สดใหม่ น่าสนใจว่า พระเยซูทรงเรียกพระองค์เองว่า เป็นอาหารแห่งชีวิต(นิรันดร์) กินแล้วไม่ตาย
ยอห์น 6:50-51,57 50 แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์ เพื่อให้ผู้ที่ได้กินแล้วไม่ตาย51 เราเป็นอาหารที่ธำรงชีวิต ซึ่งลงมาจากสวรรค์ ถ้าผู้ใดกินอาหารนี้ ผู้นั้นจะมีชีวิตนิรันดร์ และอาหารที่เราจะให้เพื่อเห็นแก่ชีวิตของโลกนั้น ก็คือเลือดเนื้อของเรา”…. 57 พระบิดาผู้ทรงดำรงพระชนม์ได้ทรงใช้เรามา และเรามีชีวิตเพราะพระบิดานั้นฉันใด ผู้ที่กินเราผู้นั้นก็จะมีชีวิตเพราะเราฉันนั้น
ในบริบทของพระคัมภีร์ตอนนี้ กล่าวเปรียบเทียบยุคที่โมเสสนำอิสราเอลเดินทางในถิ่นทุรกันดารสี่สิบปี และพระเจ้าทรงส่งอาหารจากฟ้า คือมานาให้กัคนอิสราเอลเวลานั้นกินทุกวัน คนอิสราเอลเรียกอาหารนั้นว่า อาหารสวรรค์ ทุกเช้าตกจากฟ้า และคนอิสราเอลออกไปเก็บ และพระเจ้าทรงสั่งว่าให้เก็บแค่พอกินในวันนั้น อย่าเก็บเผื่อพรุ่งนี้ แต่คนอิสราเอลไม่เชื่อ เก็บมากเพื่อจะเผื่อวันพรุ่งนี้ มานาก็บูดเน่ากินไม่ได้ คนอิสราเอลถูกเลี้ยงดูให้อยู่ด้วยความเชื่อในการเลี้ยงดูของพระเจ้าวันต่อวัน พระเยซูทรงยกตัวอย่างเรื่องนี้เปรียบเทียบตัวของพระเยซูในฐานะพระคริสต์ พระองค์ทรงนำความสดใหม่ของอาหารฝ่ายจิตวิญญาณมาให้กับสาวกของพระองค์ ดังนั้น สาวกของพระเยซูคริสต์จะต้องรับคำสอนของพระองค์เหมือนอาหารที่สดใหม่สำหรับจิตวิญญาณของตนเอง ผู้รับใช้ของพระคริสต์…จะสำแดงชีวิตที่สดใหม่ได้ จำเป็นต้องรับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่สดใหม่ อาหารฝ่ายจิตวิญญาณที่สดใหม่เกิดขั้นได้อย่างไร
มีคริสเตียนทะเล้นๆ มักจะพูดว่า ตนเองอดอาหารฝ่ายวิญญาณด้วยการไม่อ่านพระคัมภีร์ เป็นการพูดเล่นแต่ทำจริง คือชีวิตประจำวันของตัวเขาไม่อ่านพระคัมภีร์เลย เราเรียกพระวจนะที่บันทึกในพระคัมภีร์ว่าโลกอส (ซึ่งข้าพเจ้าอยากจะบอกว่า นี่คือความเข้าใจผิดอย่างมากในการเรียกพระคัมภีร์เป็นอาหารฝ่ายวิญญาณ) ความจริง อาหารฝ่ายวิญญาณของคริสเตียนจริงๆคือ เรมาห์ ไม่ใช่โลกอส) ความจริง เราต้องอ่านพระคัมภีร์ให้ได้เรมาห์ สดใหม่จากพระโอษฐ์ของพระเจ้า นั่นคือพระเจ้ากำลังพูดอะไรกับเรา เมื่อเราโดน นั่นคือเรมาห์ (สดใหม่) และเมื่อเราโดนจริงๆอะไรเกิดขึ้น มันคือการเปลี่ยนแปลง และการเปลี่ยนแปลงนี้ มันต่อเนื่อง ไม่หยุดที่จะเปลี่ยนแปลง นี่คือคำว่า สดใหม่ที่แท้จริง
ทุกวันนี้ มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเกิดในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมมุมใดในชีวิตของเราแต่ละคนบ้าง นิสัยใหม่ พฤติกรรมใหม่ คำพูดที่ไม่เหมือนเดิม เลิกพูดคำอะไรบ้าง
2โครินธ์ 5:17 เหตุฉะนั้นถ้าผู้ใดอยู่ในพระคริสต์ ผู้นั้นก็เป็นคนที่ถูกสร้างใหม่แล้ว สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น
ผู้รับใช้ของพระคริสต์….ที่สำแดงชีวิตสดใหม่ นับวัน จะยิ่งเหมือนใคร นับวันความอยากจะเหมือนใครบางคน เช่น ซุปตาร์ หรือไอดอลไหนๆจะหายไป ความอยากนั้นจะลดน้อยถอยลงไป ยิ่งกินอาหารที่สดใหม่ฝ่ายวิญญาณ ก็ยิ่งอยากเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์มากยิ่งขึ้น การสำแดงชีวิตที่สดใหม่ จะสำแดงชีวิต….
1.มีชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ ยอห์น 6:53-54
53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน54 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ก็มีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย
พระเยซูตรัสคำว่า ถ้าสาวกของพระองค์ไม่กินเนื้อและเลือด นี่เป็นคำที่ใช้สำหรับการกินอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ เนื้อและเลือด แสดงความสดใหม่ของการรับอาหารฝ่ายจิตวิญญาณ หมายถึงการดำเนินชีวิตด้วยความพอใจชีวิตฝ่ายวิญญาณมากกว่าความพอใจในชีวิตความอยากของเนื้อหนัง ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ คือชีวิตที่ปฏิเสธความต้องการของตัวเอง แบกกางเขน พร้อมจะตายต่อความปรารถนาของตัวเองตลอดเวลา
เปาโลได้กล่าวว่า เขาอยากจะเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์
ฟิลิปปี 3:10 10 ข้าพเจ้าต้องการจะรู้จักพระองค์ และได้รับประสบการณ์ในฤทธิ์เดช เนื่องในการที่พระองค์ทรงคืนพระชนม์นั้น และร่วมทุกข์กับพระองค์ คือยอมตั้งอารมณ์ตายเหมือนพระองค์
วันนี้ มีคนทักเราว่าเหมือนพระเยซูกี่เปอร์เซ็น หรือกำลังทักเราว่า เราเหมือนซุปตาร์ คนนั้น คนนี้ หรือเหมือนไอดอลคนนั้นคนนี้ เรากำลังทำให้คนรู้จักพระเยซูผ่านชีวิตของเราอย่างไร เรากำลังมีชีวิตที่สดใหม่ หรือกำลังมีชีวิตที่ปรุงแต่งให้ดูเหมือนสดใหม่ แต่ไม่มีชีวิตอยู่ในเรา
53 พระเยซูจึงตรัสกับเขาว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ถ้าท่านไม่กินเนื้อและไม่ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ท่านก็ไม่มีชีวิตในตัวท่าน
ไม่มีชีวิตอยู่ในท่าน เป็นคำที่รุนแรง….. ซึ่งเปาโลใช้คำที่มีความหมายเดียวกัน
2โครินธ์ 2:16-17 16 ฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นแห่งความตายซึ่งนำไปสู่ความตาย และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นกลิ่นหอมแห่งชีวิตซึ่งนำไปสู่ชีวิต ใครเล่าจะมีความสามารถเหมาะสมกับพันธกิจเหล่านี้17 เพราะว่าเราไม่เหมือนคนเป็นอันมาก ที่เอาพระวจนะของพระเจ้าไปขายกิน แต่ว่าเราประกาศด้วยอาศัยพระคริสต์อย่างคนสัตย์ซื่อ อย่างคนที่มาจากพระเจ้า และอย่างคนที่อยู่จำเพาะพระพักตร์พระเจ้า
ไม่มีชีวิต หมายถึงตาย แต่ถ้ามีชีวิต แสดงว่า เป็นกลิ่นหอม (ใครๆก็อยากเข้าใกล้ อยากได้ชีวิต Life on life คนที่เหมาะสมกับพันธกิจชีวิต คือคนที่มีชีวิต ไม่ใช่คนที่ไม่มีชีวิต อ.เปาโลได้กล่าวถึง การเป็นคริสเตียนของตัวเปาโล เป็นแบบอย่างของคริสเตียนที่มีชีวิต คำว่า ไม่เอาพระวจนะไปขายกิน (โลกอส) เปาโลกำลังบอกว่า ถ้าการดำเนินชีวิตคริสเตียนของเปาโลมีแต่โลกอส ไม่มีเรมาห์ (นี่คือเหตุผลว่า ทำไมพระคัมภีร์จึงถูกเรียกว่า เป็นพระคำที่มีชีวิต) เราต้องนำชีวิตจากพระคำไปสู่คนอื่น ถ้าพระคัมภีร์ขาดความสดใหม่ อ่านพระคัมภีร์ก็ไม่ต่างจากการอ่านหนังสือเล่มหนึ่งที่มีประวัติศาสตร์ วรรณกรรม คำสอน เท่านั้น การอ่านพระคัมภีรืของเราต้องนำการเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์
ยิ่งอ่าน ยิ่งศึกษาพระคัมภีร์ นับวัน เรายิ่งถอดหน้ากากออก นับวัน เรายิ่งถอดวัตถุสิ่งของออก นับวันเรายิ่งทิ้งสิ่งเก่าๆ นิสัยเก่า คำพูดเก่าออก เรายิ่งสำแดงชีวิตที่เหมือนพระเยซู คือการมองสิ่งของต่างๆไร้ค่า เรายิ่งหวงของน้อยลง เรายิ่งมองเห็นคุณค่าของคนมีค่ากว่าสิ่งของ เรายิ่งมองเห็นน้ำพระทัยของพระเจ้าเป็นอาหารฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่าการแสวงหาโลกนี้มาหล่อเลี้ยงจิตใจของตนเอง
กาลาเทีย 6:7-8 7 อย่าหลงเลย ท่านจะหลอกลวงพระเจ้าไม่ได้ เพราะว่าผู้ใดหว่านอะไรลง ก็จะเกี่ยวเก็บสิ่งนั้น8 ผู้ที่หว่านในย่านเนื้อหนังของตน ก็จะเกี่ยวเก็บความเปื่อยเน่าจากเนื้อหนังนั้น แต่ผู้ที่หว่านในย่านพระวิญญาณ ก็จะเกี่ยวเก็บชีวิตนิรันดร์จากพระวิญญาณนั้น
พระคำตอนนี้กำลังกล่าวถึง การดำเนินชีวิตส่วนตัวของเราแต่ละคน ไม่ใช่งานที่เราทำ การเป็นผู้รับใช้พระเจ้าเต็มเวลาก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะพ้นจากกรอบของพระคัมภีร์เรื่องการหว่านย่านเนื้อหนัง หรืออยู่ในกรอบของการหว่านแต่ฝ่ายวิญญาณ
โรม 8:5 5 เพราะว่าคนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายเนื้อหนัง ก็ปักใจในสิ่งซึ่งเป็นของของเนื้อหนัง แต่คนทั้งหลายที่อยู่ฝ่ายพระวิญญาณ ก็สนใจในสิ่งซึ่งเป็นของพระวิญญาณ
มีผู้รับใช้เต็มเวลาไม่น้อยที่ทำงานฝ่ายวิญญาณ แต่จิตใจปักอยู่กับเนื้อหนัง
ชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์ทุกวัน คือชีวิตที่ยิ่งเดินยิ่งห่างจากวิถีของโลกนี้ ไม่ใช่ยิ่งเป็นรักโลกนี้
1ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
พระเยซูมักจะพูดถึงอาหารของพระองค์คือการทำตามมพระทัยของพระบิดา ผู้รับใช้ของพระคริสต์…สำแดงชีวิตสดใหม่ด้วยการเหมือนพระเยซู และที่สำคัญกว่านั้นอีก คือ ชีวิตที่….
2.ให้พระเยซูคริสต์สำแดงพระองค์เอง ยอห์น 6:55-56
55 เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นของดื่มแท้56 ผู้ที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา ผู้นั้นก็อยู่กับเราและเราอยู่กับเขา
คีย์เวิร์ด คือ ผู้นั้นก็อยู่กับเราและเราอยู่กับเขา เราไม่ต้องพยายามสำแดงพระเยซู (สิ่งที่เราต้องทำคือเป็นพยานของพระเยซู)
กิจการ1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”
พระเยซพูดชัดเจนว่า งานของเราคือเป็นพยานฝ่ายพระองค์ หมายความว่า เราพบพระเยซูในชีวิตของเราอย่างไร ก็พูดตามที่เราพบ เพราะนั่นคือ คำพยานที่สดใหม่เสมอ และพระเยซูจะทำส่วนของพระองค์ คือ พระเยซูจะสำแดงพระองค์เอง พระเยซูทรงไว้ซึ่งสิทธิอำนาจ ฤทธิ์เดช พระเยซูอยู่ที่ไหน พระองค์จะสำแดงฤทธิ์เดช สิทธิอำนาจของพระองค์ผ่านผู้เชื่อ ชีวิตของคุณจะมีประสบการณ์กับการทรงสถิตของพระองค์ การอัศจรรย์ เรื่องเกินความเข้าใจ เรื่องเหลือเชื่อ จะเกิดขึ้นกับคุณ ทุกๆวัน ประสบการณ์กับพระเยซูคริสต์วันต่อวัน สำคัญว่า เราดำเนินชีวิตให้พระเยซูเป็นความปรารถนาของเราอย่างไร เรารู้สึกว่าเรากำลังอยู่กับพระเยซูและพระองค์กำลังอยู่กับเราอย่างไร
คำพยานของะรามีพลัง น่าสนใจขนาดไหน เป็นการอัศจรรย์ เป็นการจัดเตรียมของพระเจ้าอย่างไร
มัทธิว 28:18-20 18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
อยากให้เรามองภาพของแฮมเบอร์เกอร์ ที่มีขนมปังประกบบนล่าง สิ่งที่บ่งบอกว่านี่คือแฮมเบอร์เกอร์ คือขนมปังบนล่าง หากเรามาดูสิ่งที่พระเยซูพูดท่อนบน (ก่อนสุด) คือ ฤทธานุภาพของพระองค์…และปิดท้ายด้วย การอยู่ด้วยของพระองค์กับสาวกของพระองค์ นี่คือประเด็นสำคัญ ถ้าเราประกาศ เป็นพยาน สอน ทำทุกอย่าง แต่ขาดท่อนบน (คือฤทธิ์เดช และขาดการสำแดงของพระคริสต์) นั่นไม่ใช่…ไม่ใช่ ใครๆก็เลียนแบบ พูดอย่างเดียวกัน ทำอย่างเดียวกันกับศาสนาคริสต์ได้ (ถ้าเอาคนศาสนาอื่นมาสอนก็อาจจะสอนได้ดีกว่า) แต่สิ่งที่แตกต่างคือ ฤทธิ์เดชและพระเยซูคริสต์สำแดงพระองค์เอง นี่คือความสดใหม่ ตลอดเวลาของคริสเตียนที่เดินในทางเดียวกันกับพระเยซู
ให้เราสำรวจตัวเรา สิ่งที่เราทำ หนทางที่เราเดินไป เรากำลังเดินในทางของพระเยซูใช่ไม๊ จิตวิญญาณของเรากำลังจะตาย หรือมีชีวิตต่อไป เรากำลังเหี่ยวเฉาหรือเรากำลังมีชีวิตมากขึ้นเรื่อยๆ เรามีการสำแดงที่สดใหม่เพื่อส่งต่อให้กับคนใกล้ๆเราอย่างไร วันนี้ ชีวิตกำลังหยุดนิ่งหรือ? …ชีวิตที่สดใหม่คือสิ่งที่เราต้องการ
“ผู้รับใช้ของพระคริสต์…สำแดงชีวิตสดใหม่”
1.มีชีวิตที่เหมือนพระเยซูคริสต์
2.ให้พระเยซูคริสต์สำแดงพระองค์เอง