“อีสเตอร์….วันแห่งการทำลายการโกหกหลอกลวงทั้งปวง”
วันเมษาหน้าโง่ April fool day หรือวันเทศกาลคนโง่ วันโกหกของโลก (วันที่ 1 เมษายน) คนสามารถโกหกได้โดยไม่มีใครโกรธ (โดยการเล่นมุขต่างๆ หรือปล่อยข่าวเท็จ) ประวัติความเป็นมาของวันโกหกโลก มาจากประเทศฝรั่งเศส สมัยกษัตริย์ชาว์ลที่ 9 มีการเปลี่ยนวันที่หนึ่งเมษายนซึ่งเป็นวันปีใหม่ของฝรั่งเศสให้มาเป็นวันที่หนึ่งมกราคม สมัยนั้นการสื่อสารล่าช้า ก็เลยมีบางคนยังส่งการ์ดอวยพร การ์ดเชิญร่วมปาร์ตี้ในวันที่หนึ่งเมษายน โดยไม่รู้ว่าไม่มีการจัดงานฉลองปีใหม่ในวันที่หนึ่งเมษายนแล้ว คนเหล่านั้นก็เลยถูกเรียกว่า พวกหน้าโง่ (อาจแปลความว่า คือพวกตกข่าว) และกลายมาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติต่อๆกันมาว่าวันที่ 1 เมษายนเป็นวันเมษาหน้าโง่ คือคนจะปล่อยข่าวเท็จ การหลอกลวงได้ จนมาถึงยุคของเราได้เอามาทำเป็นมุขตลกแบบที่หลายคนตลกไม่ออก เพราะคนมากมายก็ยังไม่ชอบการถูกหลอก รวมทั้งพวกเราทั้งหลายด้วย ใช่ไม๊ ในยุคไหนๆก็ไม่มีใครชอบการหลอกลวง ในยุคของพระเยซูคริสต์เจ้าก็ด้วยเช่นกัน การหลอกลวงคือข้อกล่าวหาในการตรึงพระเยซูคริสต์เจ้า หลังจากวันที่พระเยซูคริสต์ตายแล้ว การกล่าวหาที่เป็นเท็จก็ยังไม่จบ มัทธิว 27:62-66 62 ในวันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันตระเตรียม พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’64 เหตุฉะนั้นขอเจ้าคุณได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรง จนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”65 ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ทำได้”66 เขาจึงไปทำอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่ พวกปุโรหิตและพวกฟาริสีเรียกพระเยซูว่า คนล่อลวง (Deceiver) ถ้าพระเยซูไม่ได้ฟื้นขึ้นมาจากความตายจริง วันเมษาหน้าโง่ควรจะเป็นวันอีสเตอร์น่าจะเหมาะสมที่สุด เพราะผ่านมาตั้งสองพันปี ก็ยังมีคนหน้าโง่เชื่อว่าพระเยซูฟื้นขึ้นมาจากความตาย เป็นการหลอกลวงอย่างที่พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีกลัวจะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นการป้องกันมิให้ตัวเองต้องเป็นคนหน้าโง่ คนเหล่านี้จึงขอให้ปิลาตสั่งเฝ้าอุโมงค์จนถึงวันที่สามอย่างแข็งแรง มีทั้งทหารยาม(ทหารโรมันที่แข็งแกร่ง) มีทั้งหินก้อนใหญ่ที่คนแข็งแรงมากๆจึงจะขยับมันได้ มีทั้งตราประทับที่ถ้าเคลื่อนที่ก็จะแตกออก คนที่กลัวเป็นคนหน้าโง่ มักจะทำอะไรโง่ๆเพื่อว่าตนเองไม่โง่ สุภาษิต 14:8 8 ปัญญาของคนหยั่งรู้คือการเข้าใจทางของเขา แต่ความโง่ของคนโง่เป็นที่หลอกลวง คนมีปัญญาเข้าใจวิธีการของตนเอง แต่วิธีของคนโง่คือการหลอกตนเองว่าเข้าใจ ทำให้คิดแบบคนธรรมดาทั่วไป ไม่เป็น อย่างเช่น เรื่องการฟื้นขึ้นมาจากความตายไม่ต้องคิดหาวิธีพิสูจน์ แค่รอเวลาเป็นตัวพิสูจน์ก็จบได้ด้วยตัวมันเอง ไม่มีใครจะโกหกเรื่องการฟื้นขึ้นมาจากความตายได้นาน ดังนั้นพวกมหาปุโรหิตจึงคิดวิธีในทางที่หลอกลวงซ้ำแล้วซ้ำเล่า หลอกให้ปิลาตฆ่าคนบริสุทธิ์ แล้วยังหลอกให้ปิลาตทำเรื่องโง่ๆตาม พวกมหาปุโรหิตและพวกธรรมาจารย์และพวกผู้ใหญ่พยายามพิสูจน์การเป็นพระบุตรของพระเจ้าโดยไม่สนใจการอัศจรรย์ที่พระเยซูทำจนคนมากมายต่างเรียกพระเยซูว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า และเมื่อวันที่สามของการตายของพระเยซูมาถึง มัทธิว 28:1-4 1 ภายหลังวันสะบาโต เวลาใกล้รุ่งเช้าวันต้นสัปดาห์ มารีย์ชาวมักดาลากับมารีย์อีกคนหนึ่งนั้นมาดูอุโมงค์2 ในทันใดนั้นได้เกิดแผ่นดินไหวใหญ่ยิ่งนัก มีทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง ได้ลงมาจากสวรรค์กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนหินนั้น3 สัณฐานของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อก็ขาวเหมือนหิมะ4 ยามที่เฝ้าอยู่นั้นกลัวทูตองค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย หากเราย้อนกลับไปดูวันที่พระเยซูตายบนไม้กางเขน ได้เกิดแผ่นดินไหว มัทธิวบันทึกว่า แผ่นไหวทำให้อุโมงค์ฝังศพมากมายใกล้เมืองเยรูซาเล็มเปิดออก มัทธิว 27:50-52ก 50 ฝ่ายพระเยซูร้องเสียงดังอีกครั้งหนึ่ง แล้วสิ้นพระชนม์ 51 และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน52 อุโมงค์ฝังศพก็เปิดออก….เราอาจเข้าใจว่า แผ่นดินไหวอีกครั้งก็คงจะทำให้หินปิดหน้าอุโมงค์ฝังศพของพระเยซูจะเปิดออกเองเหมือนกับวันที่พระเยซูตาย แต่พระคัมภีร์บันทึกว่า มีทูตของพระเจ้าองค์หนึ่ง ได้ลงมาจากสวรรค์กลิ้งก้อนหินนั้นออกจากปากอุโมงค์ แล้วก็นั่งอยู่บนหินนั้น แสดงให้เห็นว่า หินที่พวกปุโรหิตและพวกฟาริสีตั้งใจเอามาปิดหน้าอุโมงค์นั้น ไม่มีทางที่แผ่นดินไหวจะทำให้เปิดออกเองได้อย่างครั้งก่อน นี่คือการปิดโอกาสให้กับความบังเอิญจากแผ่นดินไหว ซึ่งอาจเรียกว่า อาฟเตอร์ช็อค มาทำให้เรื่องโกหกนั้นสมจริงได้ และก็เป็นอย่างที่วางแผนเอาไว้ เพราะแผ่นดินไหวไม่สามารถทำให้หินหน้าอุโมงค์ฝังศพพระเยซูเปิดออกเอง เป็นข้อพิสูจน์ถึงการป้องกันอย่างเข้มแข็งจริงๆ ดังนั้น จึงมีเหตุการณ์อีกอันหนึ่งเกิดในเวลาเดียวกันก็คือ หินที่ปิดปากอุโมงค์ถูกกลิ้งออกโดยทูตสวรรค์และทูตสวรรค์ก็ยังนั่งโชว์บนหินเพื่อยืนยันว่า นี่เป็นฝีมือของทูตสวรรค์ เพื่อให้ยามที่เฝ้าอยู่เห็นด้วยตาตัวเองว่า นี่ไม่ใช่เรื่องโกหก 3 สัณฐานของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อก็ขาวเหมือนหิมะ4 ยามที่เฝ้าอยู่นั้นกลัวทูตองค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย การฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูเป็นของจริง มัทธิว 28:11-15 มียามบางคนในพวกที่เฝ้าอุโมงค์นั้น เข้าไปในเมืองเล่าเหตุ การณ์ทั้งปวง ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นให้พวกมหาปุโรหิตฟัง12 เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร13 สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลับอยู่’14 ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ”15 ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้ เมื่อสองพันปีที่แล้ววันเมษาหน้าโง่ได้เกิดขึ้นกับคนยิวในเวลานั้น โดยฝีมือของผู้ที่เรียกพระเยซูว่า ผู้ล่อลวง (Deceiver) แต่ตัวเองกลับเป็นผู้ล่อลวงเสียเอง โดยการโกหกตัวเอง และยังทำให้คนอื่นโกหก เพื่อหลอกคนอื่นต่ออีก แท้ที่จริง วันที่พระเยซูเป็นขึ้นมาจากความตาย เป็นวันทำลายการโกหกหลอกลวงทั้งปวง พวกปุโรหิตกับพวกฟาริสีหน้าแตกเมื่อความจริงปรากฏว่า พระเยซูเป็นของจริง และจากบันทึกของพระคัมภีร์ พระเยซูไม่ทรงปรากฏกับพวกโกหกทั้งหลายเลย ถ้าเราอยากจะมีประสบการณ์กับการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู จงหยุดการโกหกในชีวิตของตัวเอง และดำเนินชีวิตอย่างสาวกของพระเยซูคริสต์เจ้า เราจะเห็นว่า พระเยซูเลือกปรากฏกับสาวกของพระองค์เท่านั้น แม้แต่คนที่ไม่ห็นพระองค์แต่เชื่อว่าพระองค์ทรงฟื้นขึ้นมาจากความตาย ก็สามารถเป็นสุขแล้ว ยอห์น 20:29 29 พระเยซูตรัสกับเขาว่า “เพราะท่านได้เห็นเราท่านจึงเชื่อหรือ ผู้ที่ไม่เห็นเราแต่เชื่อก็เป็นสุข” พระเยซูไม่ได้โกหกเลย พระองค์ตรัสถึงประสบการณ์ของคนที่เชื่อในการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ จะมีคนที่เห็นพระองค์ และจะมีคนที่ไม่เห็นแต่เชื่อก็ยังได้รับฤทธิ์เดชการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ อย่าพิสูจน์การฟื้นคืนพระชนม์อย่างคนไม่เชื่อ อย่างพวกมหาปุโรหิต แต่จงพิสูจน์อย่างคนที่เชื่อ แล้วเราจะมีประสบการณ์ในการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เหมือนกับเปโตรได้พิสูจน์ด้วยความเชื่อในการฟื้นคืนพระชนม์ กิจการ 3:14ค-16 ท่านทั้งหลาย15 จึงฆ่าพระองค์ผู้ทรงเป็นเจ้าชีวิตเสีย แต่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้พระองค์เป็นขึ้นมาอีก เราเป็นพยานในเรื่องนี้16 โดยความเชื่อในพระนามของพระองค์ พระนามนั้นจึงได้กระทำให้คนนี้ซึ่งท่านทั้งหลายเห็นและรู้จักมีกำลังขึ้น คือความเชื่อซึ่งเป็นไปโดยพระองค์ ได้กระทำให้คนนี้หายเป็นปกติต่อหน้าท่านทั้งหลาย กิจการ 4:4.4 ….คนเป็นอันมากที่ได้ฟังคำสอนนั้นก็เชื่อ จำนวนผู้ชายจึงเพิ่มขึ้นจนนับได้ประมาณห้าพันคน นี่คือจำนวนคนที่หลุดจากการโกหกหลอกลวงของพวกปุโรหิตและพวกฟาริสี ผ่านการพิสูจน์การฟื้นคืนพระชนม์ของเปโตร วันนี้ พวกเรามีกันมากมายนั่งอยู่ในห้องประชุมที่นี่ เราสามารถทำลายการโกหกหลอกลวงทั้งปวงได้ ด้วยชีวิตของตัวเรา ขอให้เรามาพิสูจน์การฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซู เริ่มต้นจากตัวเราเอง
1.จงทำลายการโกหกของตนเอง
มัทธิว 27:62-66 62 ในวันรุ่งขึ้น คือวันถัดจากวันตระเตรียม พวกมหาปุโรหิตและพวกฟาริสีพากันไปหาปีลาต63 เรียนว่า “เจ้าคุณขอรับ ข้าพเจ้าทั้งหลายจำได้ว่า คนล่อลวงผู้นั้นเมื่อยังมีชีวิตอยู่ได้พูดว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’64 เหตุฉะนั้นขอเจ้าคุณได้มีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรง จนถึงวันที่สาม เกลือกว่าสาวกของเขาจะมาลักเอาศพไป แล้วจะประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก”65 ปีลาตจึงบอกเขาว่า “พวกท่านจงเอายามไปเถิด จงไปเฝ้าให้แข็งแรงเท่าที่ทำได้”66 เขาจึงไปทำอุโมงค์ให้มั่นคง ประทับตราไว้ที่หิน และวางยามประจำอยู่ หลุมพรางของการโกหก คือการโกหกต่อไปเรื่อยๆ การจะหยุดการโกหกได้ต้องเปิดโปงการโกหก แต่พฤติกรรมของพวกมหาปุโรหิตที่นี่ เราได้เห็นการปิดปากอุโมงค์อย่างแน่นหนา ประทับตราและวางยามที่เข้มแข็งประจำการตลอดเวลา เพื่อมิให้ความจริงที่พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า พระองค์จะฟื้นขึ้นมาจากความตายเพื่อเปิดโปงการโกหก มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ของจริงย่อมเป็นของจริงวันยังค่ำ ต่อให้มีการขัดขวางอย่างไร ทำลายความน่าเชื่อถืออย่างไร ของจริงก็จะพิสูจน์ตัวเอง มีคำพูดที่กล่าวถึงคนที่ไม่มั่นคง Insecured คนที่ไม่มั่นคง จะปกป้องตัวเองด้วยการโกหก ปิดอุโมงค์ ผนึกตรา วางยามที่เข้มแข็งประจำการตลอดเวลา ถ้ามีใครเพียงแค่เดินผ่านก็จะร้อนตัว และแก้ตัวด้วยการโกหก เพราะชีวิตของคนๆนั้นเป็นอุโมงค์ฝังศพที่ไม่อยากให้ใครมาแตะ ถ้าเปิดออกจะมีแต่กลิ่นเหม็น พระเยซูได้เปรียบเทียบพวกฟารีสีและพวกธรรมาจารย์เป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพมัทธิว 23:27-28 27 “วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงาม แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตาย และสารพัดโสโครก28 เจ้าทั้งหลายก็เป็นอย่างนั้นแหละ ภายนอกแลดูเหมือนว่าเป็นคนชอบธรรม แต่ภายในเต็มไปด้วยความเท็จเทียมและอธรรม พระเยซูได้กล่าวถึงพฤติกรรมของการโกหกของพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ไว้ล่วงหน้าแล้ว และนี่คือไคลแม็ก จุดสุดยอดของพฤติกรรม กิจการ 5:27-28 27 เมื่อเขาได้พาพวกอัครทูตมาแล้วก็ให้ยืนหน้าสภา มหาปุโรหิตประจำการจึงถามว่า28 “เราได้กำชับพวกเจ้าอย่างแข็งแรงมิให้สอนออกชื่อนี้ ก็นี่แน่ะ เจ้าได้ให้คำสอนของเจ้าแพร่ไปทั่วกรุงเยรูซาเล็ม และปรารถนาให้ความผิดเนื่องด้วยความตายของผู้นั้นตกอยู่กับเรา คนโกหกมักไม่ยอมรับผิด ไม่อยากให้ใครพูดถึงความผิดของตนเอง ความจริงเปโตรไม่ได้พูดถึงการตายของพระเยซูแล้ว แต่เปโตรกำลังพูดถึงการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูต่างหาก เราคือคนที่ไม่อยากให้ใครพูดถึงสิ่งที่จะทำลายการโกหกของตัวเราเองอยู่หรือไม่ ถ้าไม่อยากก็จงเลิกวิธิคิดและวิธีกระทำ คำพูดอย่างคนโกหก อย่าเป็นเหมือนอย่างพวกปุโรหิตและพวกฟาริสีที่รู้ๆว่า การเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูได้ทำลายการโกหกหลอกลวงของตนเองอย่างสิ้นเชิง แต่ก็ยังแถด้วยการโกหกหลอกลวงต่อ ทำให้คนอื่นทำบาปอย่างเดียวกัน และส่งต่อความบาปไปยังประชาชนอื่นๆอีก มีตัวอย่างหนึ่ง เมื่อไม่นานนี้ข้าพเจ้าได้เรียกครอบครัวคนปากีสถานที่พี่น้องได้เห็นเขามาคริสตจักรเราอยู่พักใหญ่หลายเดือน ข้าพเจ้ารู้สึกไม่สบายใจที่เขาไม่เข้าใจภาษาไทย และเราก็ไม่เข้าใจภาษาปากีฯ ภาษาอังกฤษของเขาก็แย่มากๆ สื่อสารกันไม่เข้าใจ ที่เราเห็นเขาสวมหูฟัง เขาไม่เข้าใจเราเลย ข้าพเจ้าจึงแนะนำให้เขาไปโบสถ์คนปากีด้วยกัน พอพูดถึงอาจารย์คนปากีฯที่โบสถ์นั้น เขาพูดเลยว่า อาจารย์คนนี้เป็นคาทอลิค นี่คือวิธีทำลายความน่าเชื่อถือของคนที่เขาไม่อยากไปร่วม วันนี้พี่น้องรู้ไม๊ว่า เกิดอะไรขึ้น ข้าพเจ้าได้พบกับนักเคลื่อนไหวที่ดังคนหนึ่งในประเทศปากีสถาน เขามาประจำที่กรุงเทพ โดยการทรงนำของพระเจ้า ความจริงได้เปิดโปงว่า คนปากีที่มากรุงเทพและมาขอความช่วยเหลือตามโบสถ์ต่างๆ โดยอ้างว่าเขาถูกข่มเหงเพราะเขาเป็นคริสเตียน จำนวน 90% เป็นของปลอม โกหกหลอกลวง รวมทั้งครอบครัวที่มานมัสการกับเราอยู่พักใหญ่ และอาจารย์ชาวปากีที่โบสถ์ปากีก็ของปลอม ความจริง ข้าพเจ้าค่อนข้างแน่ใจบ้างแล้วว่า เขาโกหก เพราะเขาทำสิ่งที่ข้าพเจ้ารับไม่ได้หลายเรื่อง โดยเฉพาะการทำวีซ่าปลอม ดีกรีปลอม เรื่องปลอมๆเยอะแยะ นี่ไม่ใช่วิธีคิดวิธีกระทำอย่างคริสเตียน เขาโกรธข้าพเจ้ามากเมื่อเขาต้องการคำรับรองจากศิษยาภิบาลโดยให้ข้าพเจ้าเซ็นรับรองให้เขาเอาไปใช้กับสถาบันพระคริสตธรรมในอเมริกา ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ข้าพเจ้าไม่เซ็นให้ เพราะข้าพเจ้าไม่รู้จักเขา ข้าพเจ้าไม่สามารถรับรองเขาได้ คนโกหก ก็จะโกหกต่อไปเรื่อยๆ ข้าพเจ้ายังได้ยินการโกหกของเขาจากโบสถ์คนปากีฯอีก แต่ขอบคุณพระเจ้าวันนี้ เป็นวันอีสเตอร์…เป็นวันแห่งการทำลายการโกหกหลอกลวงครั้งใหญ่ของคนปากีที่ทำกับคริสตจักรในประเทศไทย คริสตจักรเราได้รับเกียรติจากพระเจ้าให้เป็นผู้เปิดโปงเรื่องนี้ โดยอยากจะบอกว่า เริ่มต้นจากการที่เราไม่ปฏิเสธที่จะช่วยเหลือคนอย่างจริงใจ และพระเจ้าก็เปิดเผยให้เราได้เป็นท่อแห่งพระพรสำหรับคริสตจักรอื่นๆที่รู้สึกขอบคุณพระเจ้าที่เรามีคำตอบให้กับเรื่องนี้ คนโกหกไม่อยากให้ใครทำลายการโกหกของเขา แต่เราซึ่งเป็นคนของพระเจ้า ใช่ไม๊ จงยอมให้พระเจ้าทำลายการโกหกของตัวเรา ยากอบ 1:23,26 22 แต่ท่านทั้งหลายจงเป็นคนที่ประพฤติตามพระวจนะนั้น ไม่ใช่เป็นแต่เพียงผู้ฟังเท่านั้น ซึ่งเป็นการลวงตนเอง…26 ถ้าผู้ใดเข้าใจว่าตัวเป็นคนมีธัมมะและมิได้สงบปากคำ แต่หลอกลวงตัวเอง ธัมมะของผู้นั้นก็ไม่มีประโยชน์
2. หยุดการเป็นเครื่องมือ…หยุดการฟังเรื่องโกหกทั้งปวง
มัทธิว 28:11-15 มียามบางคนในพวกที่เฝ้าอุโมงค์นั้น เข้าไปในเมืองเล่าเหตุ การณ์ทั้งปวง ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้นให้พวกมหาปุโร หิตฟัง12 เมื่อพวกมหาปุโรหิตประชุมปรึกษากันกับพวกผู้ใหญ่แล้ว ก็แจกเงินเป็นอันมากให้แก่พวกทหาร13 สั่งว่า “พวกเจ้าจงพูดว่า ‘พวกสาวกของเขามาลักเอาศพไปในเวลากลางคืน เมื่อเรานอนหลับอยู่’14 ถ้าความนี้ทราบถึงหูเจ้าเมือง เราจะพูดแก้ไขให้พวกเจ้าพ้นโทษ”15 ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้ พวกทหารรับเงินจำนวนมากจากพวกมหาปุโรหิต นี่คือผลประโยชน์ที่ทำให้การโกหกถูกใช้เป็นเครื่องมือและทำให้เกิดการพูดเรื่องโกหกต่อๆกันไป ผลประโยชน์ทำให้การโกหกขยายออกไปอย่างร้ายแรง และยอมแม้กระทั่งบิดเบือนความจริงที่อยู่ตรงหน้า กลายเป็นเครื่องมือของการโกหก พูดเรื่องโกหก ทำให้การโกหกเป็นสิ่งที่คนทั่วไปคิดว่าเป็นเรื่องปกติ 15 ครั้นพวกทหารได้รับเงินแล้วจึงทำตามคำแนะนำ และความนี้ก็เลื่องลือไปในบรรดาพวกยิวจนทุกวันนี้ เป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่า ของแท้ หรือของจริง อย่างเปโตรกับเหล่าอัครทูตและสาวกคนอื่นต้องเผชิญกับการโกหกและการกล่าวหาเท็จที่ร้ายแรง ชนิดที่พวกเขาจะเดินในเยรูซาเล็มอย่างเปิดเผยไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ของแท้ย่อมเป็นของแท้ และของแท้เท่านั้นที่จะหยุดของปลอมได้ เปโตรกับสาวกคนอื่นจึงเดินอย่างสง่าผ่าเผย เข้าวิหาร แม้กระทั้งเข้าไปยืนในสภาต่อหน้ามหาปุโรหิต จอมโกหกตัวพ่อ ที่ข่มขู่ให้หยุดพูดและพยายามเกลี้ยกล่อมให้เปโตรและอัครทูตเป็นเครื่องมือแห่งการโกหกของพวกเขา แต่เปโตรไม่ฟัง และหยุดการเป็นเครื่องมือและการฟังการโกหกนั้นด้วยประโยคที่ว่า กิจการ 5:29,33 29 ฝ่ายเปโตรกับอัครทูตอื่นๆ ตอบว่า “ข้าพเจ้าจำต้องเชื่อฟังพระเจ้ายิ่งกว่าเชื่อฟังมนุษย์….33 เมื่อเขาทั้งหลายได้ยินอย่างนี้โทโสก็พลุ่งขึ้น คิดกันว่าจะฆ่าพวกอัครทูตเสีย มหาปุโรหิตที่มีอำนาจ มีตำแหน่งใหญ่สูงสุด อยู่ในสภาที่น่าเชื่อถือของคนยิว เปโตรหยุดการโกหกที่กำลังเข้ามาเพื่อจะครอบงำชีวิตของเขาด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า เป็นการต่อสู้กับตัวเอง แต่พวกมหาปุโรหิตกับพวกผู้ใหญ่ในสภาต้องการจะหยุดพวกอัครทูตด้วยการฆ่า นี่เป็นการต่อสู้กับฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามกับตนเอง ที่นี่เราได้เห็นการแบ่งแยกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายที่ทำลายการโกหก กับฝ่ายที่ยังต้องการให้การโกหกดำเนินต่อไป คำถามว่า เรากำลังอยู่ฝ่ายไหน หากเรารู้สึกโกรธกับการถูกหยุดการเป็นเครื่องมือและการรับฟังการโกหกทั้งปวง เราก็กำลังอยู่ฝ่ายที่กามาลิเอลได้เตือนมหาปุโรหิตและผู้ใหญ่ในสภาเวลานั้นว่า กิจการ 5:38-40 เพราะว่าถ้าความคิดหรือกิจการนี้ มาจากมนุษย์ก็จะล้มละลายไปเอง39แต่ถ้ามาจากพระเจ้า ท่านทั้งหลายจะทำลายเสียก็ไม่ได้ เกลือก ว่าท่านกลับจะเป็นผู้สู้รบกับพระเจ้า” 40เขาทั้งหลายจึงยอมฟังกามาลิเอล…. เลือกเอาว่าจะอยู่ฝ่ายไหน นี่คือวิธีเตือนของกามาลิเอลที่เป็นอาจารย์ของเปาโล เป็นคนของพระเจ้าที่ไม่ได้โมโหในสิ่งที่เปโตรพูด เพราะท่านไม่ได้เกี่ยวข้องกับการโกหกทั้งปวงเหล่านี้ และกามาลิเอลก็ไม่ได้เป็นเครื่องมือหรือรับฟังการโกหกเหล่านั้นอีกด้วย สิทธิอำนาจการให้คนอื่นฟังจึงอยู่กับกามาลิเอลผู้ที่สามารถหยุดสถานการณ์ที่ดูตึงเครียดนั้น ขอให้อีสเตอร์….เป็นวันแห่งการทำลายการโกหกในชีวิตของเราทั้งหลายตลอดเวลา ไม่ใช่อย่างเมษาหน้าโง่ที่เราได้เห็นว่า คนมากมายไม่ได้โกหกเฉพาะวันเมษาหน้าโง่ แต่คนโกหกทุกวัน ขอให้เราทั้งหลายทำให้วันอีสเตอร์…เป็นวันทำลายการโกหกหลอกลวงทั้งปวงทุกวัน ซึ่งความจริงควรจะเป็นเช่นนั้น ให้เราบอกกับคนข้างๆว่า เราจะทำลายการโกหกของตนเอง และหยุดการเป็นเครื่องมือและรับฟังการโกหกทั้งปวง ให้เราอธิษฐานเพื่อกันและกันเวลานี้ เพื่อให้เราค้นพบว่า มุมไหนในชีวิตของเราที่ยังอยู่ในการโกหกที่ต้องจัดการ ทำลายออกไปจากชีวิตของเรา เรากำลังทำให้วันอีสเตอร์กลายเป็นเมษาหน้าโง่ ทำให้คนไม่ได้รับรู้ความจริงเกี่ยวกับการเป็นขึ้นมาจากความตายของพระเยซูคริสต์หรือไม่ เรายังปิดอุโมงค์ฝังศพ ปิดปากตัวเอง ปิดปากคนอื่นไม่ให้พูดถึงพระเยซูคริสต์ หรือพูดถึงพระเยซูคริสต์ในทางตรงกันข้ามกับความจริง ขอพระเจ้าช่วยให้เราหยุดการโกหกเหล่านี้เสียที หยุดการเป็นเครื่องมือ หยุดการรับฟังการโกหกหลอกลวง