“ชีวิตนี้…อยู่เพื่ออะไร”
ต้นไม้ที่บ้านข้าพเจ้า ออกผลให้กินหลายต้น โดยเฉพาะต้นมะเดื่ออิสราเอล ต้นมะม่วงหาวมะนาวโห่ ต้นเชอรี่ ต้นทับทิม) ทุกอย่างปลูกกระถาง เพราะไม่มีที่ดินสำหรับปลูก ยังมีจำพวกกินใบ อีกหลายชนิด มีสมุนไพรแซมหลายต้น ต้นไม้ทุกต้นที่ข้าพเจ้าดูแล (ไม่ค่อยจะเป็นเท่าไร) ข้าพเจ้าคาดหวังผลที่เกิดจากต้นไม้นั้น แม้กระทั่งไม้ดอกที่มีกลิ่น ก็คาดหวังกลิ่นหอมจากดอกไม้ ดอกไม่มีกลิ่นก็คาดหวังได้เห็นสีและความงดงามของดอกไม้นั้น ต้นที่มีใบ แต่มีกลิ่นฉุน ข้าพเจ้าก็ยังคาดหวังกลิ่นฉุนของใบนั้น เพื่อไล่แมลง และยุง รวมทั้งสุนัขและแมว หนู ขณะข้าพเจ้ากำลังรดน้ำต้นไม้ที่บ้าน ข้าพเจ้าสนใจต้นไม้เหล่านี้ทุกต้น และข้าพเจ้าก็ได้มองเห็นต้นไม้ทุกต้นเหล่านี้ ล้วนมีเป้าหมายของการที่มันคือ เติบโต ออกผล ออกดอก ออกใบ ตามชนิดของมัน ที่มีผลก็มีเมล็ดเพื่อจะสืบทอดต้นต่อไป ที่มีกิ่งก็เพื่อจะแตกออกไป ที่มีเป็นใบก็แตกใบ แม้บางต้น มันขึ้นจากขี้ของนกที่ไปกินมัน ก็ยังโต
ข้าพเจ้ามองเห็นภาพคริสตจักรของพระเยซูคริสต์เหมือนต้นไม้เหล่านี้ พวกเราทุกคนล้วนได้รับการทรงเรียกจากพระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์เรียก และไม่ใช่บังเอิญที่พี่น้องมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพราะพระเจ้าทรงเรียกท่านอย่างเฉพาะเจาะจง ลองคิดดูว่า มีคนมากมาย ทำไม ต้องเป็นพวกเราด้วย ที่ตอบสนองต่อการทรงเรียกของพระเจ้า และเมื่อพระเจ้าทรงเรียกเราแล้ว พระองค์ไม่ได้เรียกเรามาเฉยๆ พระเจ้ามอบเครื่องมืออุปกรณ์ความสามารถเพื่อเราทุกคนจะเป็นและทำอย่างที่พระองค์ทรงเรียกเรา (อย่างมีวัตถุประสงค์)
1โครินธ์1:9,5 9 พระเจ้าเป็นผู้ทรงความสัตย์ พระองค์ได้ทรงเรียกท่านให้สัมพันธ์สนิทกับพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา….5 เพราะท่านทั้งหลายพรั่งพร้อมด้วยทุกสิ่งทุกอย่างในพระองค์ คือพร้อมด้วยวาจาและความรู้ทุกอย่าง
ข้าพเจ้าไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าไม่เรียกคนอื่น คนในครอบครัวของเรา หรือเพื่อนของเรา หรือคนบนท้องถนน พระเจ้าทรงเรียกทุกคน ทุกคนมีโอกาสที่จะได้ยินการทรงเรียกของพระเจ้า แต่ว่า ใครคือคนที่จะนำการทรงเรียกของพระเจ้าไปให้คนเหล่านั้นได้ยิน (ใครคือคนที่จะทำพันธกิจนี้) ในสูจิบัตรวันนี้ ข้าพเจ้าเขียนถึง การเป็นทูตการคืนดี นำคนคืนดีกับพระเจ้า ใครเหมาะสมกับพันธกิจนี้ นั่นคือคนที่มีประสบการณ์กับการคืนดีกันกับพระเจ้าเท่านั้นที่จะนำคนให้มาคืนดีกันกับพระเจ้าได้
เมื่อพระเจ้าเรียกเราแล้ว พระองค์ทรงตกแต่งเรา มอบอุปกรณ์ต่างๆให้กับเรา รวมทั้งสิทธิอำนาจของพระเยซูที่อยู่กับเรา ทั้งหมดนี้ คือชีวิตใหม่ที่เกิดขึ้นกับเรา เรามีชัยชนะ เราสามารถต่อสู้กับศัตรูคือมารซาตาน เราแข็งแรง เรามีสุขภาพจิตที่ดีขึ้น เรารับการเยียวยา เรามีเสรีภาพ เราเป็นไท เรามีกำลังมากขึ้น มีชีวิตใหม่(ที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ) เพื่ออะไร…..
ต้นไม้มีชีวิตอยู่เพื่อสืบต่อความเป็นชนิดของมัน มันจึงไม่สูญพันธ์ไป มันเกิดผลตามที่มันเป็น และผลของต้นไม้นั้น คือชีวิตที่ส่งต่อไปยังต้นไม้รุ่นต่อไป
ยอห์น 15:1-2 1 “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา2 แขนงทุกแขนงในเราที่ไม่ออกผล พระองค์ก็ทรงตัดทิ้งเสีย และแขนงทุกแขนงที่ออกผล พระองค์ก็ทรงลิดเพื่อให้ออกผลมากขึ้น
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงเปรียบเทียบพระองค์เองเป็นต้นองุ่น ส่วนผู้เชื่อทุกคน (คริสเตียน)ทุกคน คือแขนงที่ติดกับเถา สำแดงชีวิตที่เกิดผลเพื่อจะสืบต่อการเป็นเหมือนพระเยซูคริสต์ ผลที่เกิดในชีวิตของคริสเตียน คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพลังที่ขับเคลื่อนให้เราทำพันธกิจ ทำหน้าที่เป็นทูตของพระเจ้า นำคนให้คืนดีกับพระเจ้า ไม่ใช่เพราะเราประกาศเก่ง ไม่ใช่เพราะเราพูดเก่ง หรือเรียนจบโรงเรียนพระคริสตธรรม บางทีนักศึกษาพระคัมภีร์ยังไม่เคยนำคนมาคืนดีกับพระเจ้าได้สักคนก็มี ได้แต่ระดมคนมา เรียกคนมา แต่เราไม่ได้ให้การทรงเรียกของพระเจ้าไปถึงคน แล้วคนเหล่านั้นที่มาโบสถ์แล้วก็จากไป มาเพราะเราเรียกเขามา ไม่ใช่พระเจ้าเรียกเขามา คริสเตียนทุกคน มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร?
2โครินธ์5:19 19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ
ครั้งหนึ่ง มีคนที่คืนดีกันกับพระเจ้าที่เรารู้จัก เขาได้ทำให้เราได้มาคืนดีกับพระเจ้า วันนี้ เรายังรักษาชีวิตการคืนดีกันกับพระเจ้า เพื่อจะนำการคืนดีกันกับพระเจ้านี้ไปนำคนอื่นมาคืนดีกันกับพระเจ้า ใช่ไม๊? (พันธกิจคือคุณ.. คุณคือพันธกิจ)
เรากำลังมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร เพื่อรักษาชีวิตใหม่ที่เราได้จากพระเจ้า เพื่อสืบต่อ หรือเพื่อสูญพันธ์ บางคนกลัวทื่จะมีชีวิตที่จะสืบต่อในพันธกิจที่อยู่ในชีวิตใหม่ เพราะกลัว…. พระเยซูมักจะใช้คำว่า อย่ากลัวเลย ไม่ได้เป็นแค่คำปลอบใจ แต่เป็นความจริง
มัทธิว 10:28-30 28 อย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่มีอำนาจที่จะฆ่าจิตวิญญาณ แต่จงกลัวพระองค์ผู้ทรงฤทธิ์ ที่จะให้ทั้งจิตวิญญาณทั้งกายพินาศในนรกได้29 นกกระจาบสองตัวเขาขายบาทหนึ่งมิใช่หรือ แต่ถ้าพระบิดาของท่านไม่ทรงเห็นชอบ นกนั้นแม้สักตัวเดียวจะตกลงถึงดินก็ไม่ได้30 ถึงผมของท่านทั้งหลาย ก็ทรงนับไว้แล้วทุกเส้น31 เหตุฉะนั้นอย่ากลัวเลย ท่านทั้งหลายก็ประเสริฐกว่านกกระจาบหลายตัว
พระเยซูคริสต์เจ้าทรงตรัสคำนี้ เพื่อให้เราทุกคนตระหนักว่า ขนาดนกที่ยังดำรงชีวิตอยู่เพื่อสืบต่อชนิดของมัน พระเจ้ายังดูแล แล้วเราทั้งหลาย ที่ได้รับการทรงเรียกมาเพื่อทำพันธกิจอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้า พระองค์จะไม่ยิ่งดูแลเราหรือ เพราะฉะนั้น อย่ากลัวที่จะทำพันธกิจที่อยู่ในตัวของคุณ “คุณคือพันธกิจ…พันธกิจคือคุณ” จงทำทุกอย่างสุดความสามารถ สุดกำลัง สุดความคิด สุดจิตใจ เพื่อให้การทรงเรียกของพระเจ้าไปถึงคนทุกประเภท ทุกวัย ทุกที่ที่เราได้พบกับคนเหล่านั้น
โรม 10:17 17 ฉะนั้นความเชื่อเกิดขึ้นได้ก็เพราะการได้ยิน และการได้ยินเกิดขึ้นได้ก็เพราะการประกาศพระคริสต์
โรม 10:16 แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย
ผู้เขียนหนังสือโรมได้บอกเราชัดเจนจากหนังสืออิสยาห์ว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้ยินแล้วจะเชื่อ แต่หน้าที่ของเราคือนำการทรงเรียกของพระเจ้าไปให้เขาได้ยิน นอกจากนั้นขึ้นอยู่กับคนที่ได้ยินจะตอบสนองด้วยความเชื่อหรือไม่ ไม่ใช่หน้าที่ของเราแล้ว
พระเยซูทรงตรัสกับสาวกที่พระองค์ทรงส่งออกไปประกาศตามหมู่บ้านต่างๆว่า
มัทธิว 10:14 14 ถ้าผู้ใดไม่ต้อนรับท่านทั้งหลายและไม่ฟังคำของท่าน เมื่อจะออกจากเรือนนั้นเมืองนั้น จงสะบัดผงคลีที่ติดเท้าของท่านออกเสีย เพื่อแสดงว่าท่านไม่รับผิดชอบต่อไป
พระเยซูทรงตรัสกับสาวกของพระองค์ให้ทำพันธกิจโดยไม่เลือกว่าเป็นใคร ทั้งคนที่ต้อนรับและไม่ต้อนรับ คนที่ฟังหรือไม่รับฟังคำ แต่พันธกิจที่อยู่ในตัวของสาวก ก็ยังเป็นพันธกิจที่ต้องประกาศออกไป นี่คือความหมายของการเป็นเกลือ หรือการเป็นแสงสว่าง อยู่ที่ไหน ก็ยังทำหน้าที่ของเกลือที่รักษาความเค็ม เข้มข้น อยู่ที่ไหน ก็ยังเป็นแสงสว่างไล่ความมืด สำแดงความจริงของพระเจ้าอย่างกระจ่างชัด
“พันธกิจคือคุณ…คุณคือพันธกิจ” คือการแสดงออกของชีวิตใหม่ที่ชัดเจนที่สุด ที่ไม่มีสิ่งใดลอกเลียนแบบได้ คุณได้เป็นอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เป็น คือการมีชีวิตอยู่…สมกับที่ถูกสร้างใหม่ เพื่อนำการคืนดีกันกับพระเจ้าไปสู่คนรอบข้าง
2โครินธ์5:19 19 คือพระเจ้าทรงให้โลกนี้คืนดีกันกับพระองค์โดยพระคริสต์ มิได้ทรงถือโทษในการผิดของเขา และทรงมอบเรื่องการคืนดีกันนั้นให้เราประกาศ
เรากำลังมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร…..ทุกอย่างที่เรามี ทุกอย่างที่เราทำ เพื่ออะไร จริงหรือ ที่เรากำลังทำและเป็นอยู่เพื่อคนในครอบครัวของเรา คนที่เรารัก เพื่อนของเรา เราได้ทำสุดกำลังแล้วหรือยัง