“พระเจ้าทรงให้อภัย”
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า สิ่งที่คนเราต้องการมากที่สุด ความรัก และการให้อภัย และสิ่งที่คนเราให้ยากที่สุด ก็คือ ความรัก และการให้อภัย
ความรักและการให้อภัย เป็นของคู่กัน สามีภรรยา รักกัน จะให้อภัยกัน พ่อแม่ลูก รักกัน จะให้อภัยกัน พี่น้องรักกัน ก็ต้องมีการให้อภัยกัน เป็นเพื่อนบ้านกัน รักกัน ก็ต้องมีการให้อภัยกัน รักตนเอง ก็ต้องให้อภัยตนเอง คนที่ไม่ให้อภัยตนเอง ก็รักคนอื่นไม่ได้ และจะไม่สามารถให้อภัยใครได้เลย นี่คือตรรกะที่ควรเป็น แต่ความจริง เรากลับพบว่า คนที่เรารักมากที่สุด กลับกลายเป็นคนที่ให้อภัยยากที่สุด และความจริงอีกอัน ก็คือ เรามักจะได้ยินคำว่า ให้อภัยแล้ว แต่ไม่ลืม และการไม่ลืมนั้น ชนิดจำฝังหุ่น คือ ยังเคืองไม่หาย…. นั่นคือความเป็นมนุษย์ ที่ความรัก คู่กับการไม่ให้อภัย… Forgive but not Forget แต่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า สำหรับพระเจ้า แล้ว พระองค์ทรงรัก และให้อภัย และการให้อภัยของพระเจ้า มาพร้อมกับโปรแกรมการลบล้างอดีตที่ผิดพลาดทั้งหลาย
อิสยาห์ 43:25 25 “เรา เราคือพระองค์นั้น ผู้ลบล้างความทรยศของเจ้าด้วยเห็นแก่เราเอง และเราจะไม่จดจำบรรดาบาปของเจ้าไว้
เยเรมีย์ 31:34 34 และทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้านของตน และพี่น้องของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระเจ้า’ เพราะเขาทั้งหลายจะรู้จักเราหมดตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระเจ้าตรัสดังนี้แหละ เพราะเราจะให้อภัยบาปชั่วของเขา และจะไม่จดจำบาปของเขาทั้งหลายอีกต่อไป”
พระคัมภีร์ใหม่ ในหนังสือหนึ่งเปโตร ใช้คำที่เข้าใจง่าย และทันสมัย นั่นคือ
1เปโตร 4:8 8 ที่สำคัญยิ่งกว่าอะไรหมดก็คือจงรักซึ่งกันและกันให้มาก เพราะว่าความรักลบล้างความผิดมากมายได้
การไม่ให้อภัย เกิดจากการไม่รัก มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ความเข้าใจ เกิดขึ้นจากการอธิบาย แต่ความรัก เกิดขึ้นโดยไม่มีคำอธิบาย เมื่อใดที่คุณพยายามหาเหตุผลที่จะรัก นั่นคือ คุณหมดรักไปแล้ว และเมื่อนั้นความผิดแม้นิดเดียวก็กลายเป็นความผิดมากมายได้ พระคัมภีร์หนึ่งเปโตรกล่าวคำว่า ความรักลบล้างความผิดมากมายได้ นั่นคือ ความจริง ความรัก หากเกิดขึ้นแล้ว ก็จะให้อภัยได้ ทุกอย่าง
เราจะทำอย่างไร หากเราพบว่า เราหมดรักไปแล้ว จะให้กลับมารักเหมือนเดิมอีกก็คงไม่ได้ และยิ่งพูดถึงการให้อภัย ยิ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้เลย นั่นคือความจริง แต่พระคัมภีร์ยังกล่าวต่อไปอีกว่า
1ยอห์น 4:18 18 ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย เพราะความกลัวเข้ากับการลงโทษและผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์
นั่นหมายความว่า ยังมีความหวัง ที่เราจะได้พบกับความรักใหม่ ความรักที่สมบูรณ์ เพื่อจะนำไปสู่การให้อภัย พระเจ้าได้ทรงเริ่มต้นแบบอย่างของการให้อภัย ด้วยแรงจูงใจคือความรัก
ยอห์น 3:16-18 16 เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์17 เพราะว่าพระเจ้าทรงให้พระบุตรเข้ามาในโลก มิใช่เพื่อพิพากษาลงโทษโลก แต่เพื่อช่วยกู้โลกให้รอดโดยพระบุตรนั้น18 ผู้ที่วางใจในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ ส่วนผู้ที่มิได้วางใจก็ต้องถูกพิพากษาลงโทษอยู่แล้ว เพราะเขามิได้วางใจในพระนามพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
การให้อภัยของพระเจ้าคือ การตั้งเป้าหมายช่วยทุกคนให้รอดพ้นจากการพิพากษาโทษ คนไทยใช้คำว่า กฏแห่งกรรม แต่พระคัมภีร์ใช้คำว่า พิพากษาโทษตามการกระทำของมนุษย์แต่ละคน การมิได้วางใจในพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า คือพระเยซูคริสต์ หมายถึงการไม่ยอมรับการให้อภัยของพระเจ้าผ่านการตายบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสต์
ดังนั้น การเป็นคริสเตียนจึงไม่ใช่แค่การมีศาสนาเพื่อให้เราเป็นคนดีเท่านั้น แต่การเป็นคริสเตียนคือการได้รับความรอดจากการพิพากษาโทษ และไม่ใช่รอดหลังจากความตาย แต่รอดในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ความรอด ในรากศัพท์กรีก Sozo โสโซ แปลว่า สุชภาพดีทั้งหมด มีอย่างเหลือล้น พระเยซูทรงใช้คำเรียกความรอดนี้ว่า ชีวิตที่ครบบริบูรณ์
ยอห์น 10:10 10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์
พระเจ้าทรงให้อภัย เป็นปัจจุบัน ไม่ใช่พระเจ้าเคยให้อภัย หรือจะให้อภัย ผู้ที่เชื่อวางใจในการให้อภัยของพระเจ้า จะมีเสรีภาพ อย่างแท้จริง ไม่ติดอยู่ในบ่วง พันธนาการของการไม่ให้อภัยอีกต่อไป
ในคำสอนของพระเยซูคริสต์เรื่องการอธิษฐานได้มีตอนหนึ่งกล่าวว่า ….
มัทธิว 6:12 12 และขอทรงโปรดยกบาปผิดของข้าพระองค์ เหมือนข้าพระองค์ยกโทษผู้ที่ทำผิดต่อข้าพระองค์นั้น
รากศัพท์กรีกคำว่า ยกโทษ forgive แปลว่า เอามันออกไปไกลๆ โดยเฉพาะความผิด และพระเยซูทรงตรัสถึงการให้อภัยของพระเจ้า ที่เป็นต้นแบบที่คนควรจะยกโทษให้แก่กันและกัน นั่นคือ การเอาความผิดออกไป หนึ่งในนิยามของความรักในหนังสือหนึ่งโครินธ์ ใช้คำว่า ไม่ช่างจดจำความผิด….ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด….ทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น…และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ….
1โครินธ์ 13:4-7 4 ความรักนั้นก็อดทนนานและกระทำคุณให้ ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง5 ไม่หยาบคาย ไม่คิดเห็นแก่ตนเองฝ่ายเดียว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด6 ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด แต่ชื่นชมยินดีเมื่อประพฤติชอบ7 ความรักทนได้ทุกอย่างแม้ความผิดของคนอื่น และเชื่อในส่วนดีของเขาอยู่เสมอ และมีความหวังอยู่เสมอ และทนต่อทุกอย่าง
พระเจ้าทรงให้อภัย จากนิยามความรักนี้ ทำให้เรามั่นใจได้เสมอว่า พระเจ้าให้คำสอนอย่างไร พระองค์ก็ยิ่งพิสูจน์สิ่งที่พระองค์สอนอย่างนั้นด้วย
มีคนมากมายที่ผิดพลาดร้ายแรง จนยากที่คนจะให้อภัยกัน เช่น สามีนอกใจภรรยา ยากที่ภรรยาจะให้อภัย พ่อแม่ทำผิดต่อลูก ยากที่ลูกจะให้อภัย เรื่องเงินเรื่องทอง ที่เป็นของบาดใจ แม้แต่พี่น้องก็ตัดขาดกันเพราะเรื่องนี้ ยากที่จะให้อภัยกัน การสร้างบาดแผล ทำร้ายจิตใจกัน มากมาย เกิดขึ้นจนยากจะให้อภัยกัน สิ่งเหล่านี้ ทำให้คนยากจะเชื่อว่า พระเจ้าทรงให้อภัยความผิดบาปของมนุษย์ได้หรือ? แม้ตัวของคนบางคน ยังยากจะให้อภัยตนเอง แต่พระเจ้าทรงให้อภัย
อิสยาห์ 1:18 18 พระเจ้าตรัสว่า “มาเถิด ให้เราสู้ความกัน ถึงบาปของเจ้าเหมือนสีแดงเข้ม ก็จะขาวอย่างหิมะ ถึงมันจะแดงอย่างผ้าแดง ก็จะกลายเป็นอย่างขนแกะ
ในกระบวนการ พระเจ้าทรงให้อภัย ไม่ใช่แค่ทรงให้อภัย แต่มีขั้นตอน เพื่อจะเปลี่ยนแปลงคนให้ไปถึงการสำนึก สารภาพบาป และกลับใจใหม่ เป็นคนใหม่ ที่การทำผิด การผิดพลาดนั้น เป็นเหมือนไม่เคยทำบาป และจะไม่ทำบาป และไม่รู้จักบาปอีกเลย
1 ยอห์น 5:18 18 เราทั้งหลายรู้ว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา
ผู้ที่พระเจ้าทรงให้อภัยแล้ว มารร้าย จะไม่มาแตะต้อง แปลความว่า มากล่าวโทษไม่ได้อีก นี่คือที่มาของหนังสือหนึ่งยอห์นบทแรกเรื่องการสารภาพบาป
1ยอห์น 1:19 9 ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น
พระคัมภีร์ตอนนี้ ไม่ได้เปิดช่องให้เราทำบาปครั้งแล้วครั้งเล่า แต่คือช่องของการทรงให้อภัยจากพระเจ้า เพื่อปิดช่องทางไม่ให้มารร้ายมากล่าวโทษได้อีก
พระเจ้าทรงให้อภัย คือโอกาส ให้สำนึก สารภาพบาป และกลับใจใหม่
มีผู้ชายคนหนึ่ง มาโบสถ์ฟังเทศน์ทีไร เมื่อนักเทศน์เชิญชวนให้ตอบสนองด้วยการสำนึก สารภาพบาป กลับใจใหม่ เขามักจะออกมาข้างหน้าเรื่อย แต่มีอยู่วันหนึ่ง เขาไม่ออกมา และนักเทศน์ก็ยังเชิญชวน ชายคนนี้คิดว่า พระเจ้าคงไม่ให้อภัยเขาแล้ว เขาทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เป็นร้อยๆครั้ง และในวันนั้น เขาตั้งใจว่า เขาจะไม่ตอบสนองต่อการเรียกของศิษยาภิบาลอีก และเขาก็ทำตามที่ตนเองตั้งใจ แต่ปรากฏ่า ในเช้าวันนั้น พระเจ้าทรงดลใจให้ศิษยาภิบาลกล่าวถ้อยคำมากกว่าที่เคยเชิญชวนด้วยคำว่า พระเจ้าไม่เคยจดจำว่า คุณทำผิดเป็นครั้งที่เท่าไหร่ พระองค์ทรงให้อภัยเสมอ เท่านั้นแหล่ะ ชายคนนี้ ก็ก้าวออกมาอีกครั้ง และนั่นเป็นครั้งสำคัญที่ทำให้ชายคนนี้ เลิกทำบาปที่เขาพ่ายแพ้มาตลอดชีวิตของเขาได้ อย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาเชื่อในการให้อภัยของพระเจ้า มีฤทธิ์เดช ทำให้เขาสามารถชนะตัวเองได้
1ยอห์น 5: 4-5 4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก5 ใครเล่าชนะโลก ไม่ใช่คนอื่น คือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้านั่นเอง
พระเจ้าทรงให้อภัย ทำให้เราก้าวเดินในกระบวนการสำนึก สารภาพบาป และกลับใจใหม่ นี่คือความเชื่อที่เป็นชัยชนะที่ชนะโลก หนังสือหนึ่งยอห์น กล่าวเริ่มต้นด้วยให้เชื่อในการให้อภัยของพระเจ้า ดำเนินไปด้วยการพิสูจน์การเกิดจากพระเจ้า ไม่ทำบาป ไม่หลงไปกับการยั่วยวนของโลก และปิดท้ายด้วยความเชื่อนี้ เป็นชัยชนะเหนือโลก
ยอห์น 2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์
พระเจ้าทรงให้อภัย เพื่อให้เราดำรงอยู่ แม้ทุกอย่างจะสูญสลายไปในที่สุด
2เปโตร 3:9 9 องค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ได้ทรงเฉื่อยช้าในเรื่องพระสัญญาของพระองค์ ตามที่บางคนคิดนั้น แต่พระองค์ได้ทรงอดกลั้นพระทัยไว้ เพราะเห็นแก่ท่านทั้งหลายมาช้านาน พระองค์ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย แต่ทรงปรารถนาที่จะให้คนทั้งปวงกลับใจเสียใหม่
พระเจ้าทรงรอคอยให้คนกลับใจใหม่ เพื่อรับการให้อภัยจากพระองค์