สู่ชีวิตที่หายดี เพื่อชีวิตที่เกิดผล

เวลาที่เราได้ยินเสียงรถพยาบาล เราก็รู้ว่า มีคนป่วย มีคนที่ต้องการรับการรักษา ต้องรีบไปโรงพยาบาล ให้ถึงมือหมอเพื่อทำการรักษา  เมื่อมีการเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกคนต้องการที่จะหายดี หายจากโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อเราเจ็บไข้ เจ็บป่วยไม่สบาย เราก็ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม  ทำอะไรไม่ได้เต็มที่ การมีสุขภาพที่ดีก็เป็นสิ่งที่สำคัญ เราต้องดูแลวิหารของพระเจ้าคือร่างกายของเรา  พระเจ้าของเรายิ่งใหญ่ เป็นพระเจ้าแห่งการเยียวยารักาษา พระเจ้ามีพระประสงค์ให้เราหายดี ทั้งฝ่ายร่างกาย จิตใจ และจิตวิญญาณ ไม่เพียงแต่ฝ่ายร่างกายที่ต้องดูแล ได้รับการรักษาเมื่อเจ็บไข้ได้ป่วย แต่ฝ่ายจิตใจและจิตวิญญาณก็เป็นสิ่งที่สำคัญ และเราต้องรู้ว่า จิตใจของเรา จิตวิญญาณของเราอยู่ในสภาพไหน มีอาการน่าเป็นห่วงรึเปล่า ต้องรับการเยียวยา รักษาหรือไม่ พระเยซูตรัสว่า คนเจ็บต้องการหมอ  แต่คนสบายไม่ต้องการ วันนี้ชีพจรฝ่ายวิญญาณของเราเป็นอย่างไร เราจะให้พระคำของพระเจ้าตวรจเช็คชีวิตจิตวิญญาณของเราด้วยกัน  เรามี theme ของคริสตจักรในปีนี้ว่าปีแห่งการเกิดผลในพระคริสต์ พระเจ้าต้องการให้เราเกิดผล  แล้วพี่น้องต้องการเกิดผลด้วยมั้ยคะ  และถ้าเราต้องการเกิดผลในชีวิต เราก็ต้องหายดี แข็งแรง แต่เราไม่สามารถจะหายดีแข็งแรงด้วยการอยู่เฉย ๆ  มันต้องมีการกระทำบางสิ่งบางอย่างจากตัวเรา  เราจะให้พระคำพระเจ้ามาตรวจเช็ค วัดความดัน วัดชีพจรให้กับเรา มาเยียวยารักษาเรา     จากพระธรรม ผู้วินิจฉัย  และจากชีวิตของผู้วินิจฉัยที่ชื่อว่า เยฟธาห์  เพื่อเราจะมีชีวิตที่หายดี และมีชีวิตที่เกิดผล และจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเราเข้าสู่กระบวนการรักษาขั้นตอนแรก

1.ปลดแอกความบาป

ผู้วินิจฉัยเป็นช่วงเวลาที่สิ้นยุคของโยชูวาแล้ว และเป็นช่วงก่อนที่จะมีกษัตริย์ เป็นช่วงเวลาที่ อิสราเอลได้ตั้งรกรากถิ่นฐานในดินแดนแห่งพันธสัญญาแล้ว ซึ่งมีผู้วินิจฉัยทั้งหมด 13 คนที่เข้ามาช่วยเหลืออิสราเอลในเวลานั้น  แม้จะมีผู้วินิจฉัยถึง 13 คน แต่สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาของผู้วินิจฉัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่เหมือน ๆ กัน นั่นคือ  อิสราเอล ได้ละทิ้งพระเจ้าไปหารูปเคารพ  และพระเจ้าทรงอนุญาตให้ศัตรูมาโจมตีและตกเป็นทาสเป็นเชลย เมื่ออยู่ในสภาพเช่นนี้อิสราเอลก็จะสารภาพบาปกับพระเจ้า และพระเจ้าก็จะทรงนำให้มีผู้วินิจฉัยมาปลดปล่อย  อิสราเอลก็มีเสรีภาพจากศัตรูอีกครั้ง แต่หลังจากนั้น อิสราเอลก็กลับไปทำบาปอีก ครั้งแล้วครั้งเล่า ที่ชีวิตเป็นเช่นนี้ จึงต้องมีผู้วินิจฉัยคนแล้วคนเล่าเข้ามาช่วยเหลือ ช่วยกู้ ช่วยปลดปล่อย ผู้วินิจฉัย 10 :6-9  6คนอิสราเอลก็กระทำชั่วในสายพระเนตรพระเจ้าอีก   ไปปรนนิบัติพระบาอัลทั้งหลายและพวกพระอัชทาโรท พระของเมืองซีเรีย   พระของเมืองไซดอน   พระของเมืองโมอับ   พระของคนอัมโมน   พระของคนฟีลิสเตีย   และเขาทั้งหลายละทิ้งพระเจ้าเสีย   หาได้ปรนนิบัติพระองค์ไม่ 7และพระพิโรธของพระเจ้าก็พลุ่งขึ้นต่ออิสราเอล   จึงทรงขายเขาไว้ในมือของคนฟีลิสเตีย   และในมือของคนอัมโมน 8เขาได้ข่มเหงและบีบบังคับคนอิสราเอลในปีนั้น   เขาได้บีบบังคับชนอิสราเอลฟากตะวันออกของ แม่น้ำจอร์แดนในแผ่นดินของคนอาโมไรต์   ซึ่งอยู่ในกิเลอาดสิบแปดปี 9ทั้งคนอัมโมนได้ข้ามแม่น้ำจอร์แดน   ไปต่อสู้กับยูดาห์และต่อสู้กับเบนยามิน   และต่อสู้กับพงศ์พันธุ์เอฟราอิม   ดังนั้น   อิสราเอลจึงเดือดร้อนอย่างยิ่ง  ความบาปคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราเจ็บป่วย เป็นอุปสรรคขวางกั้นการเกิดผลในชีวิตของเรา อิสราเอลไม่สามารถไปถึงน้ำพระทัยพระเจ้า ไม่สามารถเกิดผลตามแผนการของพระเจ้า เพราะความบาปในการกราบไหว้รูปเคารพ อิสราเอลดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งพระคุณของพระเจ้า แต่ก็ควบคู่ไปกับการทำบาปตลอดเวลา มันเป็นไปไม่ได้กับการมีชีวิต 2 ฝัก ฝ่าย เป็นข้า 2 เจ้า บ่าว 2 นาย  และเราก็ไม่สามารถเช่นกันที่จะดำเนินชีวิตบนเส้นทางแห่งพระคุณ ควบคู่ไปกับการมีชีวิตตามมาตรฐานของโลกค่านิยมของความบาป 2 โครินธ์ 6:14-18 14ท่านอย่าเข้าเทียมแอกกับคนที่ไม่เชื่อ   เพราะว่าความชอบธรรมจะมีหุ้นส่วนอะไรกับความอธรรม   และความสว่างจะเข้าสนิทกับความมืดได้อย่างไร 15พระคริสต์กับเบลีอัลจะลงรอยกันอย่างไรได้   หรือคนที่เชื่อจะมีส่วนอะไรกับคนที่ไม่เชื่อ 16วิหารของพระเจ้าจะตกลงอะไรกับรูปเคารพได้   เพราะว่าเราเป็นวิหารของพระเจ้าผู้ทรงดำรงพระชนม์   ดังที่พระเจ้าตรัสไว้ว่า เราจะอยู่ในเขาทั้งหลายและจะดำเนินในหมู่พวกเขา  และเราจะเป็นพระเจ้าของเขา  และเขาจะเป็นชนชาติของเรา  17พระเจ้าตรัสว่า   เหตุฉะนั้น  เจ้าจงออกจากหมู่พวกเขาเหล่านั้น  และจงแยกตัวออกจากเขาทั้งหลาย  อย่าแตะต้องสิ่งซึ่งไม่สะอาด  แล้วเราจึงจะรับพวกเจ้าทั้งหลาย  18เราจะเป็นดังบิดาของพวกเจ้า และพวกเจ้าจะเป็นบุตรชายบุตรหญิงของเรา  พระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพทั้งสิ้นได้ตรัสดังนั้น อิสราเอลมักไม่เรียนรู้บทเรียนที่เกิดขึ้นในชีวิตอย่างแท้จริง เราเองเป็นเช่นนั้นด้วยหรือไม่ เราเรียนรู้เพียงเล็กน้อย เพียงชั่วเวลาหนึ่ง เพียงประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็กลับไปทำบาป ซึ่งทำให้ชีวิตต้องวนเวียนอยู่ในปัญหาไม่รู้จบ เจ็บป่วยฝ่ายวิญญาณ จนไม่สามารถเกิดผลอะไรในพระเจ้าได้ เพราะเรากลับไปหาความบาปตลอดเวลา ไม่ได้กลับใจละทิ้งความบาป ความไม่ถูกต้องนั้นอย่างแท้จริง เรากลับใจเพียงแค่ประเดี๋ยวเดียว พอพระเจ้าช่วยกู้ พอสถานการณ์ดีขึ้น เราก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม หรือหนักยิ่งกว่าเดิม การทำแบบนี้คือการที่เราไม่เห็นคุณค่าในพระคุณของพระเจ้า ไม่เห็นคุณค่าของพระเยซูคริสต์ที่ทรงไถ่เราบนไม้กางเขน คนที่เป็นผู้นำ พี่เลี้ยง หัวหน้าเซลล์ เคยเจอแบบนี้มั้ยคะ ถ้าลูกแกะเราทำบาป ทำอะไรไม่ถูกต้อง เราเตือน บอก พร่ำสอน ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง  จนอยากจะใช้ไม้หน้า 3 อยู่แล้ว  ตอนเราบอกก็รับปาก พยักหน้ารับ สัญญาจะไม่ทำ แต่เพียงไม่นาน แป๊ปเดียวกลับไปทำอีกแล้ว  เรารู้สึกยังไง พอที กับการดำเนินชีวิตในความบาป มันไม่ได้ส่งผลดีอะไร ความบาปทำให้เราพลาดไปจากเป้าหมายของพระเจ้า พลาดไปจากแผนการของพระเจ้า ถึงเวลาแล้วที่ต้องหยุด ต้องกลับใจอย่างแท้จริง ปิดทุกประตูของความบาป และต้องหันกลับมาหาพระเจ้า  ผู้วินิจฉัย 10:10-1610และคนอิสราเอลร้องทุกข์ต่อพระเจ้าว่า   ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปต่อพระองค์   เพราะว่าข้าพระองค์ได้ทอดทิ้งพระเจ้าของข้าพระองค์เสีย   และปรนนิบัติบรรดาพระบาอัล11และพระเจ้าตรัสกับคนอิสราเอลว่า   เรามิได้ช่วยกู้เจ้าให้พ้นจากชาวอียิปต์   จากคนอาโมไรต์จากคนอัมโมน   และจากคนฟีลิสเตียหรือ 12ทั้งคนไซดอน   คนอามาเลข   และชาวมาโอนได้บีบบังคับเจ้า   เจ้าได้ร้องทุกข์ถึงเรา   และเราได้ช่วยเจ้าให้พ้นมือเขาทั้งหลาย 13แม้กระนั้นเจ้าทั้งหลายยังได้ละทิ้งเรา   และปรนนิบัติพระอื่น   ฉะนี้เราจึงจะไม่ช่วยกู้เจ้าทั้งหลายอีกต่อไป 14จงไปร้องทุกข์ต่อพระซึ่งเจ้าทั้งหลาย ได้เลือกปรนนิบัตินั้นเถิดให้พระเหล่านั้น ช่วยกู้เจ้าในยามทุกข์เดือดร้อนนี้15และคนอิสราเอลกราบทูลพระเจ้าว่า   ข้าพระองค์ทั้งหลายได้กระทำบาปแล้ว   ขอพระองค์ทรงกระทำแก่ข้าพระองค์ ตามที่พระองค์ทรงเห็นชอบ   ข้าพระองค์ขอวิงวอนเพียง ว่าขอทรงช่วยข้าพระองค์ให้พ้นในวันนี้เถิด16ดังนั้นเขาทั้งหลายจึงเลิกถือพระอื่น   และปรนนิบัติพระเจ้า   ฝ่ายพระองค์ทรงเดือดร้อน พระทัยด้วยความทุกข์เข็ญของอิสราเอล   ระวังพระเจ้าจะพูดกับเราว่า อยากทำบาปนักไม่ใช่หรือ ก็ทำบาปต่อไปสิ สนุกกับบาปต่อไป จะมาร้องให้พระเจ้าช่วยทำไม  อย่าให้ต้องเป็นแบบนั้น แต่เราก็จะเห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าที่ทรงรัก เมื่ออิสราเอลคร่ำครวญบอกว่าจะกลับใจ พระเจ้าก็ส่งการช่วยกู้มาถึงชีวิตของพวกเขา พระเมตตาอันอ่อนสุภาพของพระเจ้ามีสำหรับทุกคนที่ทำบาป กับผู้ที่กำลังทนทุกข์กับผลของบาป กับผู้ที่กลับใจใหม่และแสวงหาการอภัย  เราจะได้เห็นว่าพระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าผู้ไม่เคยทอดทิ้งประชากรของพระองค์เลย ไม่ว่าอิสราเอลจะทำให้พระเจ้าเสียพระทัยขนาดไหน และแม้ว่าพระเจ้ามีบทเรียนที่จะตีสอนมากอย่างไร พระองค์ก็จะนำอิสราเอลกลับมาหาพระองค์เสมอ  สิ่งนี้กำลังบอกเราว่า พระเจ้าไม่ทอดทิ้งเราเช่นกัน พระเจ้าทรงไถ่ประชากรของพระองค์ไว้ด้วยพระโลหิตของพระองค์ วิวรณ์1:5 พระองค์ 5และจากพระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นพยานที่ซื่อสัตย์   และทรงเป็นผู้แรกที่ได้ฟื้นจากความตาย   และผู้ทรงครอบครองกษัตริย์ทั้งปวงในโลก  แด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย   และได้ทรงปลดเปลื้องบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์ ไม่ว่าวันนี้ยังมีความบาปใดในชีวิต ให้เราปลดแอก หักแอกความบาปนั้นโดยฤทธิ์อำนาจความรัก ความยิ่งใหญ่ของพระเยซู ให้พระองค์เยียวยารักษาโรคบาปในชีวิตเราเพื่อเราจะหายดี แข็งแรง และเกิดผล   และเมื่อเราปลดแอกความบาปแล้ว

2. ปลดปล่อยความหลัง

ผู้วินิจฉัย 10 :17-18 17ฝ่ายคนอัมโมนก็ถูกเรียกให้จับอาวุธ   เขาได้ตั้งค่ายในกิเลอาด   และคนอิสราเอลก็มาพร้อมกันตั้งค่ายอยู่ที่มิสปาห์ 18และประชาชน  คือบรรดาประมุขของคนกิเลอาดพูดกันว่า   ผู้ใดที่จะเป็นคนแรกที่จะเข้าต่อสู้กับคนอัมโมน   ผู้นั้นจะเป็นหัวหน้าของชาวกิเลอาดทั้งหมด  และในเวลานี้เอง ที่เป็นเรื่องราวของผู้วินิจฉัย ที่จะมาช่วยปล่อยอิสราเอลจากความทุกข์ โดยผู้วินิจฉัย ที่ชื่อว่า เยฟธาห์ แต่เรื่องราวของเขา ไม่ใช่ว่าจะปูพรมแดงเดินออกมาจากฉากอย่างสง่าผ่าเผย ในฐานะผู้วินิจฉัยที่คนยอมรับนับถือ  และเรื่องราวของเยฟธาร์ จะเป็นบทเรียนเป็นยาขนานเอกที่จะช่วยเราในการปลดปล่อยความหลัง  ชีวิตของเยฟธาห์ มีเส้นทางชีวิตที่หฤโหด แต่เขาเอาชนะต่ออุปสรรคในชีวิตของเขา และสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่  เขาเป็นคนที่ถูกครอบครัวปฎิเสธ ถูกสังคมผลักไสไล่ส่ง แต่ในท้ายที่สุดเยฟธาห์กลายเป็นผู้นำคนอิสราเอล ผู้วินิจฉัย 11:1-3 1เยฟธาห์คนกิเลอาดเป็นทแกล้วทหาร   แต่เป็นบุตรของหญิงแพศยากิเลอาดเป็นบิดาของเยฟธาห์ 2ภรรยาแท้ของกิเลอาดมีบุตรชายหลายคน   และเมื่อพวกบุตรเหล่านั้นโตขึ้นแล้ว   จึงผลักไสเยฟธาห์ออกไปเสียโดยกล่าวว่า   เจ้าจะมีส่วนในมรดกของบิดาเราไม่ได้   เพราะเจ้าเป็นลูกของหญิงคนอื่น3เยฟธาห์จึงหนีจากพี่น้อง ของตนไปอาศัยอยู่ที่แผ่นดินโทบ   พวกนักเลงก็มั่วสุมกับเยฟธาห์   และติดตามเขาไปเที่ยวรังควาน  ประโยคแรกที่พูดถึงเยฟธาห์ นั้นบอกว่าเขาเป็นแกล้วทหาร เป็นนักรบที่เก่งกาจ ซึ่งบ่งบอกว่า เขาเป็นคนกล้าหาญ  มีพละกำลัง มีความสามารถ มีประสิทธิภาพ  เป็นคนที่มีคุณสมบัติที่ดีมาก แต่ชีวิตของเขาไม่ได้มีเพียงด้านนี้ด้านเดียว พระคัมภีร์บอกต่อไปว่า พ่อเขาคือ กิเลอาด และมีแม่เป็นหญิงแพศยาหรือหญิงโสเภณีที่ไม่ได้รับการยอมรับในสังคม   เยฟธาห์เป็นลูกนอกกฎหมายของกิเลอาด เพราะกิเลอาดมีภรรยา มีลูกอยู่แล้ว  ด้านหนึ่งในชีวิตของเขาดูดี แต่อีกด้านดูมีปัญหา และนี่คือมนุษย์จริง ๆ ที่มีทั้งมุมที่ดี มุมที่ไม่ได้ มุมสว่าง มุมมืด ไม่มีมนุษย์คนไหนที่เพอร์เฟคสมบูรณ์แบบ 100% และนั่นเป็นเหตุผลที่ทุกคนต้องการพระผู้ช่วยให้รอด เป็นผู้เยียวยารักษา พ่อของเยฟธาห์นั้นมีลูกอยู่แล้วกับภรรยาที่ถูกต้อง และลูก ๆ เหล่านี้ก็มาขับไล่เยฟธาห์ออกจากบ้านเพราะไม่ต้องการให้เยฟธาห์มีส่วนใด ๆ ในมรดกของพ่อ  เยฟธาห์เป็นที่เกลียดชัง ชิงชังของครอบครัว  เป็นเรื่องที่น้ำเน่ามาก และถ้าจะจินตนาการความน้ำเน่าเข้าไปอีก เยฟธาห์คงจะโดนพี่น้องต่างแม่กลั่นแกล้งตลอดเวลา  ถูกใช้งาน ถูกใส่ร้าย ถูกกระทำสารพัด  ชีวิตของเยฟธาห์ต้องมีบาดแผลเพราะการกระทำของพ่อ และพี่น้องต่างแม่  แต่ขอบคุณพระเจ้า แม้เขาแข็งแรง มีพละกำลัง เขาก็ไม่ได้ใช้สิ่งเหล่านั้นโต้ตอบการร้ายที่เกิดขึ้น เยฟธาห์ได้ปลดปล่อยความหลังของชีวิต ไม่ปล่อยให้สิ่งเหล่านั้นสร้างอิทธิพลชั่วในชีวิตของเขา  เขาเป็นผู้ที่อดทนต่อความเจ็บปวด  ชีวิตเราเองก็ต้องเจอกับอะไรมากมายที่ทำให้เราเจ็บปวดเสียใจ และเราต้องเรียนรู้ที่จะอดทน  มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการทดลองเรื่องความรู้สึกเจ็บปวด และระดับความอดทนต่อความเจ็บปวด โดยมีผู้เข้าร่วมการทดลองเป็นทหารผ่านศึก  นักวิทยาศาสตร์ได้ต้มน้ำร้อน 48 องศา จากนั้นให้ผู้ทดลองจุ่มมือลงไป และจะดูว่าจะรู้สึกเจ็บตอนกี่วินาที อดทนแช่ได้ถึงกี่วินาที  นักวิทยาศาสตร์แบ่งกลุ่มผู้ทดลองเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นทหารผ่านศึกที่เคยบาดเจ็บสาหัสมาก่อน เช่นกระดูกหัก ร่างกายโดนเผาไหม้ ถูกตัดอวัยวะ  กลุ่ม 2 เป็นทหารที่บาดเจ็บเล็กน้อย เป็นแผลภายนอกไม่รุนแรง และผลการทดลองออกมาคือ ทหารที่บาดเจ็บเล็กน้อยโดยเฉลี่ยจะเริ่มเจ็บเมื่อเวลา 4.69 วินาที และอดทนแช่ต่อไปไม่ไหวเวลา 27.02 วินาที  ส่วนทหารที่บาดเจ็บสาหัส เริ่มเจ็บเวลา 10.13 วินาที อดทนแช่ต่อไปไม่ไหวที่เวลา 59.98 วินาที  การทดลองจึงสรุปได้ว่า ผู้เคยเจ็บสาหัสมาก่อนจะทนเจ็บได้มากกว่า  หากวันนี้เรากำลังเผชิญความยากลำบาก ความทุกข์ยาก ความเจ็บปวดจงรู้เถอะว่าหากคุณผ่านความยากลำบาก ผ่านเรื่องราวเจ็บปวดที่กำลังเผชิญไปได้ เราจะอดทนต่อสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นได้ มากกว่าเดิม  ทุกครั้งที่เจอความเจ็บปวด เราจะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ  ฉะนั้นอย่ากลัวความเจ็บปวด ความทุกข์ยาก เรื่องร้ายที่เข้าเพราะมันจะทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น  สิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเยฟธาห์ ทำให้เขาต้องจ่ายราคาความบาปของพ่อที่ไปหลับนอนกับหญิงโสเภณี และทำให้แยฟธาห์กลายเป็นลูกนอกกฎหมาย  อพยพ 34:7 7ผู้ทรงสำแดงความรักมั่นคงต่อมนุษย์กระทั่งพันชั่วอายุ   ผู้ทรงโปรดยกโทษการล่วงละเมิด   การทรยศ  และบาปของเขาเสีย   แต่จะทรงถือว่า  ไม่มีโทษก็หามิได้   และให้โทษบิดาตกทอดไปถึงลูกหลานสามชั่ว   สี่ชั่วอายุคน  นี่ไม่ได้หมายความว่า พระเจ้าจะลงโทษลูกเพราะบาปที่พ่อแม่ทำ แต่หมายความว่า สิ่งที่พ่อแม่ทำนั้นมันสามารถจะมาเกิดผลในชีวิตของลูก  ลูก ๆ มักจะได้รับการส่งต่อทัศนคติมาจากพ่อแม่และมีวิถีชีวิตเหมือนกับพ่อแม่  ซึ่งลูกอาจไม่ได้ชอบสิ่งที่พ่อแม่ทำ แต่ถึงอย่างไรสิ่งนั้นก็จะมีอิทธิพลในชีวิตของลูก ถ้าพ่อแม่มีความเกลียดชัง ก็มีแนวโน้มที่ลูกจะเป็นอย่างนั้นด้วย ถ้าพ่อที่ดื่มเหล้า ลูกก็จะมีแนวโน้มมีปัญหาแบบนั้นด้วย  ถ้าลูกเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่มีแต่คำตำหนิ พูดจาแง่ร้าย ลูกก็มีโอกาสที่จะเป็นแบบนั้น แต่เราก็สามารถที่จะปลดปล่อยชีวิตเราจากสิ่งเหล่านี้ได้ เราไม่จำเป็นต้องรับสิ่งเหล่านี้ เราสามารถปฎิเสธ โดยฤทธิ์อำนาจ พระคุณและความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ  หากเราอนุญาต ยินยอม ยินดีให้    พระเจ้าเข้ามากระทำกิจของพระองค์ในชีวิตเรา และเรามั่นใจได้ว่า พระเจ้าจะเปลี่ยนเราให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์  การถูกปฎิเสธจากคนในครอบครัวเป็นสิ่งที่เจ็บปวดมาก ดาวิดกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ก็มีประสบการณ์นี้  เมื่อซามูเอลมาที่บ้านของเจสสี พ่อของดาวิด เพื่อจะเจิมลูกชายของบ้านนี้ให้เป็นกษัตริย์ ไม่มีใครในบ้านนึกถึงดาวิดเลย พ่อก็ไม่นึกถึง  พวกพี่ชายก็ไม่เคยคิดจะไปเรียกดาวิดมาให้ซามูเอลดูตัว  พระเยซูคริสต์ก็ทรงมีประสบการณ์ที่เจ็บปวดนี้เช่นกัน พี่น้องของพระองค์บางคนก็เยาะเย้ย เย้ยหยันที่พระเยซูบอกว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ พวกเขาสงสัยและไม่เชื่อในสิ่งที่พระองค์บอก จนกระทั่งพระเยซูถูกตรึงบนไม้กางเขน และฟื้นขึ้นจากความตาย  ยอห์น 7:2-5  2ขณะนั้นใกล้จะถึงเทศกาลอยู่เพิงของพวกยิวแล้ว 3พวกน้องๆของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า   ท่านจงออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดีย   เพื่อให้เหล่าสาวกของท่านได้เห็นกิจการที่ท่านกำลังกระทำอยู่ 4เพราะว่าไม่มีผู้ใดแอบทำสิ่งใดเงียบๆเมื่อผู้นั้นอยากให้ตัวปรากฏ   ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้   ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด5แม้พวกน้องๆของพระองค์ก็มิได้วางใจในพระองค์  เมื่อเยฟธาห์ออกจากบ้าน จากครอบครัว เขาก็เดินทางไปที่เมืองโทบ ตั้งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน พระคัมภีร์วินิจฉัย 11 ข้อ 3 บอกเราว่ามีพวกนักเลงไปเป็นสมัครพรรคพวกกับเยฟธาห์  พวกนักเลงไม่ถึงอะไร คือคนที่ไม่มีอะไรทำ ไม่มีงานทำ แล้วทำไมคนเหล่านี้ถึงไปเป็นสมัครพรรคพวกกับเยฟธาห์ เพราะพวกเขาคงมองเห็นความเป็นผู้นำ ความแข็งแรง แข็งแกร่ง ในตัวของเยฟธาห์  แต่แม้ว่าจะมีพวกนักเลงมาอยู่กับเขา ติดตามเขา พระตัมภีร์ก็ไม่ได้ระบุว่าเขาไปทำสิ่งเลวร้าย ไม่ได้ให้ความเจ็บปวด ขมขื่นที่ถูกปฎิเสธจากครอบครัวผลักดันให้เขาทำสิ่งที่เลวร้าย เขาไม่ได้ให้ปูมหลังที่เกิดขึ้นในชีวิตขับเคลื่อนเขาให้ทำเรื่องแย่ ๆ มากขึ้น ไม่ และเขากลับทำสิ่งที่ตรงกันข้าม เขาเปลี่ยนด้านมืดให้เป็นความสว่าง เขาทำให้สิ่งที่แย่ ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตเป็นความท้าทายที่จะลุกขึ้น ที่จะยืนหยัด  บางครั้งเรารู้สึกว่าชีวิตมันหนักหนาซะเหลือเกิน  แต่หากเราเชื่อสิทธิอำนาจของพระเจ้า เราจะรู้ และเข้าใจว่า สิ่งแย่ ๆ สิ่งเลวร้าย สิ่งไม่ดีที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา มันคือส่วนหนึ่งในแผนการของพระเจ้าที่พระองค์กำลังใช้สิ่งเหล่านั้นปั้นแต่งเราให้เหมือนพระองค์  สดุดี 37:23-24 23ถ้าพระเจ้าทรงนำย่างเท้าของมนุษย์คนใด และคนนั้นพอใจในมรรคาของพระองค์  24แม้เขาล้มเขาจะไม่ถูกเหวี่ยงลงเหยียดยาว  เพราะว่าพระหัตถ์พระเจ้าพยุงเขาไว้   ไม่ว่าเราจะเห็นหรือไม่เห็น เข้าใจหรือไม่เข้าใจ เชื่อหรือไม่เชื่อ ชีวิตของเราทั้งหมดนั้น พระเจ้าทรงกำหนดไว้หมดทั้งสิ้นแล้ว พระองค์กำลังสร้างเราให้เป็นอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เราเป็น  และพระเจ้าของเราเป็นพระเจ้าที่เชี่ยวชาญมากที่จะใช้คนที่ดูใช้การไม่ได้ พระองค์เชี่ยวชาญมากที่จะใช้สิ่งที่เล็กน้อยของสิ่งที่เล็กน้อย คือไม่ว่าจะเล็กมากแค่ไหน จะดูใช้การไม่ได้มากแค่ไหน พระเจ้าสามารถทำให้ เราเป็นภาชนะที่ถวายเกียรติพระเจ้าได้ 1 โครินธ์ 1:26-31 26ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย   จงพิจารณาดูว่า   พวกท่านที่พระเจ้าได้ทรงเรียกมานั้นเป็นคนพวกไหน   มีน้อยคนที่โลกนิยมว่ามีปัญญา   มีน้อยคนที่มีอำนาจ   มีน้อยคนที่มีตระกูลสูง 27แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าโง่เขลา   เพื่อทำให้คนมีปัญญาอับอาย   และได้ทรงเลือกคนที่โลกถือว่าอ่อนแอ   เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย 28พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าต่ำต้อยและดูหมิ่น   และเห็นว่าไร้สาระ   เพื่อทำลายสิ่งซึ่งโลกเห็นว่าสำคัญ 29เพื่อมิให้มนุษย์สักคนหนึ่งอวดต่อพระเจ้าได้ 30โดยพระองค์   ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์   เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญาและความชอบธรรมของเรา   และเป็นผู้ทรงชำระเราให้บริสุทธิ์   และทรงเป็นผู้ไถ่เราไว้ให้พ้นบาป 31เพื่อให้เป็นไปตามพระคัมภีร์ที่เขียนว่า   ให้ผู้โอ้อวด  อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า การถูกปฎิเสธเป็นสิ่งที่เจ็บปวด แต่มันก็สามารถสร้างประโยขน์ เป็นผลดีได้ พระเจ้าสามารถใช้ความเกลียดชัง และการโจมตีจากผู้อื่นที่จะสร้างบุคลิกลักษณะใหม่ในชีวิตเรา สามารถใช้สิ่งไม่ดีแก้ไขเรา สามารถใช้สิ่งเหล่านั้น ฟอก ซัก ขัดถูชีวิตเราให้บริสุทธิ์ขึ้นได้ ผู้วินิจฉัย 11:4-8  4ต่อมาภายหลังคนอัมโมนได้ทำสงครามกับคนอิสราเอล 5และเมื่อคนอัมโมนทำสงครามกับอิสราเอลนั้น   พวกผู้ใหญ่ของเมืองกิเลอาดได้ไปเพื่อจะพาเยฟธาห์มาจากแผ่นดินโทบ 6เขากล่าวแก่เยฟธาห์ว่า   จงมาเป็นหัวหน้าของเรา   เพื่อเราจะได้ต่อสู้กับคนอัมโมน7แต่เยฟธาห์กล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า   ท่านไม่ได้เกลียดข้าพเจ้า   และขับไล่ข้าพเจ้าเสียจากพงศ์พันธุ์บิดาของข้าพเจ้าดอกหรือ   เมื่อคราวทุกข์ยากท่านจะมาหาข้าพเจ้าทำไมเล่า8พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงกล่าวแก่เยฟธาห์ว่า   เหตุที่เรากลับมาหาท่าน   ณ บัดนี้  ก็ด้วยต้องการให้ท่านไปกับเราสู้รบกับคนอัมโมน   แล้วมาเป็นหัวหน้าของเราที่จะปกครองชาวกิเลอาดทั้งปวง  ในช่วงเวลานี้ อิสราเอลถูกโจมตี  พวกอัมโมนพยายามที่จะมาแย่งชิงแผ่นดิน ลูกหลานของคนอัมโมนนั้นเป็นใคร อิสราเอลในเวลานี้ไม่มีผู้นำแม่ทัพที่จะต่อสู้กับศัตรู  พวกผู้ใหญ่ ผู้อาวุโสได้มาขอร้องเยฟธาห์ให้กลับไปกอบกู้ชาติ และให้กลับไปเป็นหัวหน้า เป็นแม่ทัพ เป็นผู้ปกครองอิสราเอล  คนเหล่านี้ที่ครั้งหนึ่งมีส่วนไล่เยฟธาห์ให้ออกไป  แต่มาบัดนี้กลับไปขอร้องเยฟธาห์ให้กลับมา  กลับมาเป็นผู้นำของอิสราเอล  นี่คือการทำงานของพระเจ้า การช่วยกู้ของพระเจ้าในชีวิตเยฟธาห์โรม8 :28-3028เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว   ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย   แห่งพระบุตรของพระองค์   เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก 30และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น   พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย   และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น   พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม   และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม   พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย   พระเจ้าสามารถทำทุกสิ่งให้เกิดผลดีได้ พระเจ้าทรงคลุกเคล้าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตเยฟธาห์ และในชีวิตของเรา ทั้งความเจ็บปวด เสียใจ การถูกปฎิเสธ ชัยชนะน้ำตา ความพ่ายแพ้ ความล้มเหลว  การย่างก้าว การสะดุด พระเจ้าทำให้ทุกอย่างลงตัวได้ เพื่อให้เกิดผลดีในชีวิตของเรา  หน้าที่ของเราคือการสัตย์ซื่อที่จะรับใช้พระเจ้าในที่ ๆ เราอยู่  เราต้องทำในสิ่งที่เป็นน้ำพระทัยพระเจ้าในที่ ๆ พระองค์ทรงวางเราไว้ และเราต้องเรียนรู้บทเรียน ที่พระเจ้าต้องการจะสอนเรา  มันเป็นความรับผิดชอบของพระเจ้าที่จะเปิดประตูการรับใช้ เปิดประตูพันธกิจ เปิดประตูแห่งโอกาส และมันเป็นความรับผิดชอบของเราที่จะเติบโตในที่ ๆ เราถูกปลูกไว้ ไม่ว่าที่ ๆ เราถูกปลูกไว้มันจะเป็นอย่างไร  และเราต้องเชื่อใจวางใจพระเจ้าไม่ว่าเมื่อไหร่ที่พระองค์จะใช้เรา ที่ไหนและอย่างไร   ให้เราทำชีวิตของเราให้พร้อมที่จะให้พระเจ้าใช้ เป็นที่ใช้ได้ของเจ้าเสมอ แล้วพระองค์จะให้โอกาสอย่างมากมายที่จะรับใช้ในงานในแผ่นดินของพระองค์  เมื่อเรารับใช้พระองค์อย่างสัตย์ซื่อดำเนินอย่างสัตย์ซื่อในวันนี้ พระองค์จะทรงดูแลวันพรุ่งนี้ในชีวิตของเรา  ผู้วินิจฉัย11: 9-11  9เยฟธาห์จึงกล่าวแก่พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดว่า   ถ้าท่านให้ข้าพเจ้ากลับบ้านเพื่อทำศึกกับคนอัมโมน   และถ้าพระเจ้าทรงมอบเขาไว้ในมือข้าพเจ้า   ข้าพเจ้าจะได้เป็นหัวหน้าของท่าน10พวกผู้ใหญ่ของกิเลอาดจึงตอบเยฟธาห์ว่า   พระเจ้าทรงเป็นพยานระหว่างเรา   เราจะกระทำตามที่ท่านสั่งทุกประการ11เยฟธาห์จึงไปกับพวกผู้ใหญ่ของกิเลอาด   และประชาชนก็ตั้งท่านให้เป็นหัวหน้า และเป็นประมุขของเขา   แล้วเยฟธาห์ก็กล่าวคำที่ตกลงกันทั้งสิ้น ต่อพระเจ้าที่เมืองมิสปาห์   เยฟธาห์ตอบสนองพระเจ้าที่จะช่วยอิสราเอลให้ได้รับชัยชนะเหนือศัตรูที่มาโจมตี และเขาได้เป็นผู้วินิจฉัยอิสราเอลอยู่ 6 ปี  แม้ว่าครั้งหนึ่งคนเหล่านั้นจะปฎิบัติกับเขาแย่และเลวร้ายมากเพียงใดก็ตาม เขาไม่ขมขื่น เยฟธาห์สามารถก้าวข้ามผ่านความรู้สึกไม่ดีเหล่านั้นไปได้อย่างสวยงาม  เยฟธาห์สามารถมองเห็นพระหัตถ์แห่งพระคุณพระเจ้าในชีวิตของเขา  นั่นเพราะเขาชัดเจนที่จะมีชีวิตถวายเกียรติพระเจ้า แม้เขาจะถูกเนรเทศขับไล่ออกจากอิสราเอล แต่เขาก็ไม่เคยให้ชีวิตออกจากทางของพระเจ้า เขาได้พิสูจน์ชีวิตของเขาในการอุทิศตัวให้กับพระเจ้าผ่านการปฎิบัติต่อผู้อื่น  แล้วเราปฎิบัติกับคนอื่นอย่างไร  การปฎิบัติของเราต่อคนอื่นคือสิ่งที่สะท้อนถึงพระเจ้าที่อยู่ในหัวใจของเรา เราต้องตระหนักว่าทุกคนแต่ละคนคือพระฉายของพระเจ้า คือฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า เมื่อเราบอกว่ารักพระเจ้า เราก็ต้องรักคนอื่นที่พระเจ้ารักนั้นด้วย 1 ยอห์น 4:20 20ถ้าผู้ใดว่า   ข้าพเจ้ารักพระเจ้า   และใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน   ผู้นั้นก็เป็นคนพูดมุสา   เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่แลเห็นแล้ว   จะรักพระเจ้าที่ไม่เคยเห็นไม่ได้   แม่ชีเทเรซา บอกว่า คนบางคนเข้ามาในชีวิตเราเพื่อเป็นพระพร แต่คนบางคนเข้ามาเพื่อเป็นบทเรียน แม้ว่าเขาจะทำสิ่งที่แย่และเลวร้ายแค่ไหน  เยฟธาห์ เข้าต่อสู้ทำสงครามกับศัตรูของอิสราเอลด้วยการพึ่งพาพระเจ้า ด้วยการรู้ว่า ชัยชนะที่จะเกิดขึ้นนั้นเพราะพระเจ้า โดยพระเจ้า และเพื่อพระเจ้า  และทุกชัยชนะในชีวิตของเรา จะต้องเป็นชัยชนะที่มีพระเจ้า เพราะพระเจ้า มาจากพระเจ้า    ชัยชนะไม่ใช่มาด้วยกำลังของเรา ตัวของเรา ความสามารถสติปัญญาของเรา  ชัยชนะของเราต้องมาจากความสัมพันธ์ที่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง มาจาการที่เราให้พระเจ้ากระทำกิจของพระองค์ในทุกสิ่งที่เรากระทำ และมาจากการที่เราไว้วางใจพระเจ้า  ขอให้ชีวิตของเราเป็นชีวิตที่หายดี เป็นชีวิตที่เกิดผล เพราะเราปลดแอกความบาป ปลดปล่อยความหลังไม่ฝังใจกับอดีตที่เจ็บปวดอีกต่อไป โรม 8 :28-30 28เรารู้ว่า   พระเจ้าทรงช่วยคนที่รักพระองค์ให้เกิดผลอันดีในทุกสิ่ง   คือคนทั้งปวงที่พระองค์ได้ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์ 29เพราะว่าผู้หนึ่งผู้ใดที่พระองค์ได้ทรงทราบอยู่แล้ว   ผู้นั้นพระองค์ได้ทรงตั้งไว้ให้เป็นตามลักษณะพระฉาย   แห่งพระบุตรของพระองค์   เพื่อพระบุตรนั้นจะได้เป็นบุตรหัวปีท่ามกลางพวกพี่น้องเป็นอันมาก30และบรรดาผู้ที่พระองค์ได้ทรงตั้งไว้นั้น   พระองค์ได้ทรงเรียกมาด้วย   และผู้ที่พระองค์ได้ทรงเรียกมานั้น   พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม   และผู้ที่พระองค์ทรงโปรดให้เป็นผู้ชอบธรรม   พระองค์ก็ทรงโปรดให้มีศักดิ์ศรีด้วย   ชีวิตของเราก็มีปูมหลัง มีเรื่องราวที่ทุกข์ยาก มีความเจ็บปวด   มีชีวิตที่ถูกปฎิเสธจากครอบครัว ไม่เป็นที่ยอมรับของคนอื่น ถูกทอดทิ้ง ไม่เป็นที่สนใจ ไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ต้องการ เติบโตมากับความรู้สึกไร้คุณค่าแต่พระเจ้าทรงมีหนทางที่จะนำเราทั้งหลายที่เจอกับสิ่งเหล่านี้ได้ พระเจ้าทรงรักเรา และยอมรับเรา และบอกว่าเราเป็นของพระองค์  ในสายพระเนตรของพระเจ้า เราทุกคนมีคุณค่า เรามั่นใจได้ในความรักของพระเจ้า ชีวิตของเยฟธาห์สอนเราว่าเราสามารถลุกขึ้น และมีชีวิตอยู่เหนือความรู้สึกเหล่านั้น มีชัยชนะต่อปูมหลังของชีวิต   เมื่อเรารู้สึกชีวิตแตกเป็นเสี่ยง ๆ ถูกทอดทิ้ง รู้สึกขาด  เราต้องรู้ว่าการที่เราอยากได้รับการยอมรับจากมนุษย์นั้นไม่สามารถช่วยให้เราไปต่อได้  แต่สิ่งแรกที่เราต้องการอันดับแรกสุด และสำคัญที่สุดคือคือการยอมรับจากพระเจ้า เพื่อจะนำชีวิตเราสู่การบรรลุความสำเร็จที่แท้จริงในชีวิต  โดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราสามารถได้รับการเยียวยา รักษาความเจ็บปวดในอดีตได้ สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตจะไม่สามารถทำให้เราตกต่ำย่ำแย่ โดยความช่วยเหลือจากพระเจ้า เราสามารถเป็นผู้มีชัยชนะ มีชีวิตที่หายดี มีชิวิตที่เกิดผลเหมือนกับเยฟธาห์เราทุกคนล้วนมีความแข็งแกร่งและความอ่อนแอ แต่พระเจ้าสามารถใช้เราทุกคนได้ พระองค์สามารถทำสิ่งพิเศษในชีวิตเราได้ อาจมีวัฎจักรความบาปในชีวิตเรา มีปูมหลังที่เจ็บปวด แต่วันนี้มันจะถูกทำลายลง พระเจ้าสามารถใช้เราไม่ว่าอดีตเราเป็นอย่างไร ครอบครัวเป็นอย่างไร หรือมีชีวิตที่ล้มเหลวมาแล้วอย่างไร

By admin