ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…“รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด”
เราคงเคยได้ยินคำว่า รักแท้…แพ้ใกล้ชิด นั่นหมายความว่า แม้จะรักกัน แต่ถ้าอยู่ห่างไกลกัน ก็อาจทำให้ความรักนั้นสั่นคลอนด้วยมือที่สามที่เข้ามาแทรกได้ จึงมีคำพูดที่ว่า รักแท้…มักแพ้ความใกล้ชิด แต่ความจริงแล้ว รักนั้นไม่ใช่ของแท้ เพราะถ้าเป็นรักแท้จริงๆ จะไม่มีวันเสื่อมถอย หรือสั่นคลอน แต่จะยืนหยัดมั่นคง รักเดียวใจเดียว เพราะฉะนั้น รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด และวันนี้เรามาถึงผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรื่องความรัก ซึ่งเป็นคุณลักษณะอันแรก ของบรรดาคุณลักษณะของผลพระวิญญาณบริสุทธิ์ทั้งเก้าคุณลักษณะ กาลาเทีย 5:22-23 22 ฝ่ายผลของพระวิญญาณนั้น คือความรัก ความปลาบปลื้มใจ สันติสุข ความอดกลั้นใจ ความปรานี ความดี ความสัตย์ซื่อ23 ความสุภาพอ่อนน้อม การรู้จักบังคับตน เรื่องอย่างนี้ไม่มีธรรมบัญญัติห้ามไว้เลย รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด เป็นความรักระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ และระหว่างมนุษย์กับพระเจ้า พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า ในพระเจ้าไม่มีการแปรปรวนยากอบ 1:17 17 ของประทานอันดีทุกอย่าง และของประทานอันเลิศทุกอย่างย่อมมาจากเบื้องบน และส่งลงมาจากพระบิดาแห่งบรรดาดวงสว่าง ในพระบิดาไม่มีการแปรปรวน หรือไม่มีเงาอันเนื่องจากการเปลี่ยนแปลง พระคัมภีร์ตอนนี้สามารถนำมาใช้กับความรักของพระเจ้าด้วยเช่นกัน 1ยอห์น 4:16 16 ฉะนั้นเราทั้งหลายจึงรู้ และเชื่อในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พระเจ้าทรงเป็นความรัก และผู้ใดที่อยู่ในความรักก็อยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าก็ทรงสถิตอยู่ในผู้นั้น ความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเราไม่เปลี่ยนแปลง ไม่ว่าเราจะเป็นอย่างไร จะดีหรือเลว จะอ่อนแอหรือเข้มแข็ง จะสะอาดหรือสกปรก จะล้มเหลวหรือประสบความสำเร็จ จะน่ารักหรือไม่น่ารัก พระเจ้ายังรักเราไม่เปลี่ยนแปลง พระเจ้าทรงรักเราในขณะที่เราห่างไกลจากพระองค์ และพระเจ้าได้ทรงพยายามที่จะทำให้เกิดความใกล้ชิดกับมนุษย์อีกครั้งผ่านทางการสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่บาปมนุษย์โดยพระเยซูคริสต์ ความรักของพระเจ้ามั่นคงนิรันดร์ แต่ปัญหาคือตัวเราที่แม้เราจะถูกเปลี่ยนเป็นวิหาร เป็นที่สถิตของพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้วก็ตาม วิถีการดำเนินชีวิตของเราทำให้เราเข้าใจว่าเราใกล้ชิดกับโลกนี้มากกว่าใกล้ชิดกับพระเจ้า นี่คือสิ่งที่หนังสือ 1ยอห์น2:15-17 15 อย่ารักโลกหรือสิ่งของในโลก ถ้าผู้ใดรักโลก ความรักต่อพระบิดาไม่ได้อยู่ในผู้นั้น16 เพราะว่าสารพัดซึ่งมีอยู่ในโลก คือตัณหาของเนื้อหนังและตัณหาของตา และความทะนงในลาภยศไม่ได้เกิดมาจากพระบิดา แต่เกิดมาจากโลก17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ นี่เป็นคำเตือนว่า รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด เพราะโลกอยู่ใกล้เรามากตามที่เราเข้าใจ แต่หากเราสัมพันธ์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะสัมผัสได้ว่า เราอยู่ใกล้พระเจ้ามากกว่าโลก เพราะโลกอยู่ภายนอก แต่พระเจ้าทรงอยู่ภายในเรา และผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเราสำแดงเป็นความรักอันดับแรก และนี่คือการต่อสู้กับโลกและสิ่งที่ยั่วยวนของโลก 17 และโลกกับสิ่งที่ยั่วยวนของโลกกำลังล่วงไป แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระทัยของพระเจ้าจะดำรงอยู่เป็นนิตย์ เราต้องใช้รักแท้ที่มาจากผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการต่อสู้กับความรู้สึกใกล้ชิดกับโลก พระเยซูคริสต์จึงอธิษฐานเผื่อเราทั้งหลายว่า ยอห์น 17:15-23 15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง18 พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกฉันใด ข้าพระองค์ก็ใช้เขาไปในโลกฉันนั้น19 ข้าพระองค์ชำระตัวถวายเพราะเห็นแก่เขา เพื่อให้เขารับการทรงชำระแต่งตั้งไว้โดยสัจจะด้วยเช่นกัน20 “ข้าพระองค์มิได้อธิษฐานเพื่อคนเหล่านี้พวกเดียว แต่เพื่อคนทั้งปวงที่วางใจในข้าพระองค์เพราะถ้อยคำของเขา21 เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์ คือพระบิดาทรงสถิตในข้าพระองค์ และข้าพระองค์ในพระองค์ เพื่อให้เขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระองค์ และกับข้าพระองค์ด้วย เพื่อโลกจะได้เชื่อว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา22 เกียรติซึ่งพระองค์ได้ประทานแก่ข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้มอบให้แก่เขา เพื่อเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังที่พระองค์กับข้าพระองค์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั้น23 ข้าพระองค์อยู่ในเขาและพระองค์ทรงอยู่ในข้าพระองค์ เพื่อเขาทั้งหลายจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา และพระองค์ทรงรักเขาเหมือนดังที่พระองค์ทรงรักข้าพระองค์ พระเยซูคริสต์เจ้ากำลังตรัสถึงความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของพระองค์กับพระบิดาเป็นต้นแบบของความรักแท้ที่แม้พระเยซูจะมาบังเกิดเป็นมนุษย์ แต่พระเยซูก็ยังเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดา และรักพระบิดา เหมือนที่พระบิดาทรงรักพระองค์ และนี่คือต้นแบบที่สาวกของพระเยซูจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันโดยมีพระเยซูอยู่ภายในสาวกและทำให้สาวกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระบิดาอย่างที่พระเยซูทรงเป็น เป็นความใกล้ชิดที่มาจากรักแท้ แม้จะอยู่ในโลกนี้ ใช้ชีวิตดูเหมือนใกล้ชิดกับโลกแต่ไม่ได้เป็นของโลก และไม่พ่ายแพ้ต่อการยั่วยวนของโลกนี้ คำอธิษฐานของพระเยซูมีนัยถึงความรักที่ทำให้สาวกสามารถยืนหยัดอยู่ในโลกนี้ได้โดยไม่ขอให้พระเจ้าเอาสาวกออกไปจากโลก แต่ขอทรงปกป้องให้พ้นจากมารร้าย เพราะฉะนั้น รักแท้…ที่ไม่แพ้การใกล้ชิด(ภายนอก) การดำรงอยู่ในความรักแท้นั้นต้องไม่ประมาท…อย่างที่พระเยซูทรงอธิษฐานเป็นตัวอย่างคือ…
1.ขอการปกป้องให้พ้นจากมารร้าย ยอห์น 17:15
15 ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาเขาออกไปจากโลก แต่ขอปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย
พระคัมภีร์ได้กล่าวเตือนให้ระวังมารในทุกรูปแบบ ในหนังสือ 1เปโตร5:8 8 ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ ดุจสิงห์คำรามเที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ มารจะมาอย่างสัตว์ร้ายที่จ้องจะกัดกินเหยื่อที่อ่อนแอ ในมิตินี้คือการขอพระเจ้าปกป้องความอ่อนแอของเรามิให้เราเป็นเหยื่อของมาร เราทุกคนมีจุดอ่อนแอ เหมือนกับฝูงแกะก็จะมีตัวที่อ่อนแอ แต่ตัวที่อ่อนแอรอดพ้นจากเป็นเหยื่อของสิงโตได้ก็เพราะตัวที่อ่อนแอยังรักษาระยะความใกล้ชิดกับฝูงไม่แตกฝูงออกไปโดดเดี่ยวเที่ยวเล่นสนุก คริสเตียนต้องมีคริสตจักรสังกัดและอยู่ให้เป็นที่เป็นทาง มีจ่าฝูงมีผู้นำ และติดตามการนำ มีเพื่อนห้อมล้อมกันและกัน อยู่ใกล้คนที่ต่อสู้กับมาร ในหนังสือยากอบได้กล่าวถึงลักษณะของคนที่ต่อสู้กับมาร ยากอบ 4:6-8 6 แต่พระองค์ก็ได้ทรงประทานพระคุณเพิ่มขึ้นอีก เหตุฉะนั้น พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า พระเจ้าทรงต่อสู้ผู้ที่หยิ่งจองหอง แต่ทรงประทานพระคุณแก่คนที่ใจถ่อม 7 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป8 ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ การน้อมใจฟังพระเจ้า คือการเชื่อฟัง ยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า คำว่า “ต่อสู้” กับมาร คือการยืนหยัดอยู่ตรงกันข้าม (ไม่ใกล้ชิด) และมันจะหนีท่านไป การขอการปกป้องจากมารร้าย ไม่ใช่การรอคอยให้พระเจ้าทำหน้าที่ฝ่ายเดียว เราจะเห็นว่า ในหนังสือยากอบได้กล่าวถึงหน้าที่ของคริสเตียนที่ต้องเชื่อฟังพระเจ้า เข้าใกล้พระเจ้า และยังต้องออกห่างจากมาร และอยู่ตรงกันข้ามกับทุกอย่างที่มาจากมาร (อิทธิพลของโลกนี้) เราจะเห็นว่า การต่อสู้กับมารคือต้องมีวิถีที่ตรงกันข้ามกับมาร มารใช้โลกนี้เป็นช่องทางที่จะใส่ความคิดและการดำเนินชีวิตภายใต้อิทธิพลของโลกนี้ พระเยซูคริสต์เจ้าได้ตรัสว่า มารเป็นเจ้าโลกนี้ 1ยอห์น 5:18-19 18 เราทั้งหลายรู้ว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา 19 เราทั้งหลายรู้ว่าเราเกิดจากพระเจ้า และชาวโลกทั้งสิ้นอยู่ใต้อานุภาพของมารร้าย นี่คือภาพที่พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าอยู่ตรงกันข้ามกับมารร้าย แต่คนที่ไม่ได้เกิดจากพระเจ้าก็อยู่ข้างเดียวกันกับมาร รับอิทธิพลของมารเต็มๆ ถามว่า คนของพระเจ้ารับอิทธิพลของมารได้ไม๊….ได้ หากคนของพระเจ้า ไม่ชำระใจให้บริสุทธิ์ ใจของคนของพระเจ้าก็จะเป็นสองใจ พระคัมภีร์กล่าวถึงอิทธิพลที่ทำให้คนของพระเจ้าเป็นสองใจมีสองเรื่อง เรื่องแรกคือเงินทอง มัทธิว 6:24 24 “ไม่มีผู้ใดเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนายได้ เพราะว่าจะชังนายข้างหนึ่ง และจะรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และจะดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านจะปฏิบัติพระเจ้าและจะปฏิบัติเงินทองพร้อมกันไม่ได้ เรื่องที่สองคือความสงสัย (การวางใจในโลกนี้) ยากอบ 1:6ข-17…เพราะว่าผู้ที่สงสัยเป็นเหมือนคลื่นในทะเลซึ่งถูกลมพัดซัดไปมา7 ผู้นั้นจงอย่าคิดว่าจะได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย8 เขาเป็นคนสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางที่ตนประพฤตินั้น ฉบับแปล 2011 แปลคำว่าสองใจด้วยคำว่า สองจิตสองใจ สองเรื่องนี้ทำให้รักแท้ถูกเขย่าให้หวั่นไหว ถามว่า รักแท้…พ่ายแพ้ไม๊ ข้าพเจ้ายังยืนยันว่า …ไม่…. ตราบใดที่ยังเป็นรักแท้…ไม่แพ้ใกล้ชิด ยกเว้นไม่ใช่รักแท้ จึงทำให้พ่ายแพ้แก่การยั่วยวนของมาร การเป็นคริสเตียนไม่ได้หมายความว่าจะไม่เจอการยั่วยวนของมาร แม้พระคัมภีร์จะบอกว่า แต่พระบุตรของพระเจ้าได้ทรงคุ้มครองรักษาเขา และมารร้ายไม่แตะต้องเขา แต่พระคัมภีร์ไม่มีเท่านี้ พระคัมภีร์ได้กล่าวว่า คนที่เกิดจากพระเจ้าไม่ทำบาป นั่นหมายความว่า คนที่เกิดจากพระเจ้ามีส่วนที่ตนเองต้องรับผิดชอบคือ ต้องไม่ทำบาป นี่คือความไม่ประมาท…จงขอการปกป้องให้พ้นจากมารร้าย แล้วเราจะมองเห็นทางออก ทั้งเราจะทำหน้าที่ของตัวเราเองในการพาตัวเองให้พ้นจากมารร้ายด้วย บางคนอธิษฐานขอการปกป้อง แต่เท้าไม่ขยับออกห่าง มือยังทำบาป ใจยังคิดบาป ปากยังพูดบาป ยังไม่หยุด ไม่เลิก การปกป้องให้พ้นจากมารร้ายก็ไปได้แค่ครึ่งทาง ยากอบแนะนำคริสเตียนให้ต้องออกแรงด้วยตัวของคริสเตียนเองด้วย ยากอบ 1:7-8 7 เหตุฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า จงต่อสู้กับมาร และมันจะหนีท่านไป8 ท่านทั้งหลายจงเข้าใกล้พระเจ้า และพระองค์จะเสด็จมาใกล้ท่าน คนบาปทั้งหลายเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด และคนสองใจ จงชำระใจของตนให้บริสุทธิ์ ข้าพเจ้าชอบการแนะนำตัวของผู้รับใช้พระเจ้าหลายคนที่ไม่ประมาทกับรักแท้ที่เขามีกับภรรยาของเขา โดยการแนะนำตัวเสมอว่า เขาแต่งงานแล้ว มีภรรยาแล้ว เพื่อบอกกับตัวเองว่า แม้เขาจะรับใช้พระเจ้าห่างไกลจากภรรยา ดูเหมือนมีเสรีภาพที่จะทำอะไรๆได้คนเดียว แต่เขาก็ต้องย้ำกับตัวเองว่า นี่คือการปกป้องความรักแท้ที่เขามีกับภรรยาของเขา วันนี้ เราทั้งหลายประกาศตัวว่าเรามีพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นเจ้าของเรากับคนรอบข้างแบบไหน หรือเราทำตัวกลมกลืนกับโลกนี้ เราพร้อมจะไปเดตกับโลกนี้ ใช้ชีวิตกับโลกนี้อย่างมีเสรีภาพ จะทำอะไรก็ได้โดยไม่เกรงใจว่าพระเยซูที่รักเราที่เฝ้ามองดูเราด้วยความห่วงใยว่าเราจะผิดพลาด ถลำลงไปในความบาปอีก ดังนั้นวิธีคิดของคนที่มีรักแท้จะต้องเปลี่ยนแปลงในประการที่สอง..
2.ตระหนักเสมอว่าตนไม่ใช่ของโลกนี้ ยอห์น 17:16
16 เขาไม่ใช่ของโลก เหมือนดังที่ข้าพระองค์ไม่ใช่ของโลก
พระเยซูกำลังตรัสว่า พระองค์มีเจ้าของแล้ว คือพระองค์เป็นของพระบิดา และพระบิดาเป็นของพระองค์ พระเยซูใช้คำว่า เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน และนี่คือวิธีคิดที่จะปกป้องรักแท้ไว้ได้ อ.เปาโลได้สาธิตวิธีคิดอย่างคนที่ไม่ใช่ของโลกนี้ในทางปฏิบัติคือ ฟิลิปปี 3:7-8 7 แต่ว่าสิ่งใดที่เคยเป็นคุณประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถือว่าสิ่งนั้นไร้ประโยชน์แล้ว เพื่อเห็นแก่พระคริสต์8 ที่จริงข้าพเจ้าถือว่าสิ่งสารพัดไร้ประโยชน์ เพราะเห็นแก่ความประเสริฐแห่งความรู้ถึงพระเยซูคริสต์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า เพราะเหตุพระองค์ ข้าพเจ้าจึงได้ยอมสละสิ่งสารพัด และถือว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเหมือนหยากเยื่อเพื่อข้าพเจ้าจะได้พระคริสต์รากศัพท์ภาษากรีกตรงนี้มีความหมายว่า สิ่งที่โยนให้กับสุนัข สิ่งที่โยนให้สุนัขหมายถึงชิ้นเนื้อ ในข้อ 2ก่อนหน้านี้อ.เปาโลได้เตือนให้ระวัง 2 จงระวังพวกสุนัข จงระวังบรรดาคนที่ทำชั่ว จงระวังพวกถือการเชือดเนื้อเถือหนัง อ.เปาโลกำลังสอนถึงการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดที่ไม่เหมือนเดิม และต้องไม่กลับไปที่เดิม การใช้คำเรียกสิ่งที่เคยเป็นประโยชน์ในชีวิตเก่าว่าเป็นเหมือนนิสัยอย่างสุนัขที่อ.เปาโลมองว่า มันไม่ใช่วิสัยของชีวิตใหม่อีกต่อไป ชีวิตใหม่จะไม่หลงใหลหรือติดอยู่กับชิ้นเนื้อที่สุนัขจ้องมองอยากจะกิน ซึ่งในพระคัมภีร์ใช้อีกสำนวนว่า 2เปโตร 2:19ข-22 …เพราะว่ามนุษย์พ่ายแพ้แก่สิ่งใด เขาก็เป็นทาสของสิ่งนั้น20 เพราะว่าถ้าหลังจากที่เขาพ้นจากสรรพมลทินของโลกนี้แล้ว ด้วยการที่เขาได้รู้จักพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอด เขากลับเกี่ยวข้องและพ่ายแพ้แก่การชั่วนั้นอีก บั้นปลายของเขาก็กลับชั่วร้ายยิ่งกว่าตอนต้น21 เพราะว่าถ้าเขาไม่ได้รู้จักทางชอบธรรมนั้นเสียเลย ก็ยังจะดีกว่าที่เขาได้รู้แล้ว แต่กลับหันหลังให้พระบัญญัติอันบริสุทธิ์ที่ได้ทรงโปรดมอบให้แก่เขานั้น22 พฤติกรรมได้เกิดกับเขาตามสุภาษิตซึ่งเป็นความจริงที่ว่า สุนัขเลียกินสิ่งที่มันสำรอกออกมา และสุกรที่คนล้างมันให้สะอาด แล้วกลับลุยลงไปนอนในปลักอีก ในวิวรณ์ได้เรียกพฤติกรรมของคนบางประเภทว่าสุนัข วิวรณ์ 22:15 15 ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม เราจะเห็นว่า แม้แต่การโกหกและดำเนินชีวิตอยู่ในการโกหกก็ถูกจัดอยู่ในระดับเดียวกันกับการทำบาปเรื่องเพศ การฆ่าคน คนมีรูปเคารพ วิธีคิดที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงใหม่ ยังอยู่ภายใต้อิทธิพลของโลกนี้ก็คือการไม่อยู่ในความจริงของพระเจ้า นั่นคือ ยังอยู่ในการโกหก มีคำหนึ่งที่ใช้กับคนที่ไม่อยู่ในความจริง หรือไม่ยอมรับความจริงก็คือ การหลอกตัวเอง ดังนั้น คนที่มีรักแท้…ไม่แพ้ความใกล้ชิดกับโลกนี้ก็คือการไม่หลอกตัวเอง และอีกสิ่งที่คนที่มีรักแท้ต้องทำเป็นประจำคือ
3.รับการชำระด้วยพระวจนะแห่งความจริงเสมอ ยอห์น 17:17
17 ขอทรงโปรดชำระเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง
สุขอนามัยของร่างกายของคนเรายังต้องอาบน้ำวันละสองครั้ง ยิ่งหน้าร้อน บางคนอาบน้ำวันละหลายครั้ง เพราะมีเหงื่อ คราบไคล ความสกปรกของอากาศ ยิ่งทำงานที่เปื้อนง่ายก็ยิ่งต้องชำระล้างให้สะอาดเสมอ การล้างมือให้สะอาดก่อนทานอาหาร การแปรงฟัน การล้างหน้าส่วนที่เปราะบางก็ยิ่งต้องล้างให้สะอาด เช่นเดียวกัน เราต้องการความจริงแห่งพระวจนะที่จะชำระเราจากการโกหก หลอกลวงของโลกนี้ คริสเตียนต้องตระหนักว่า เราต้องทำความสะอาดความคิดจิตใจของเราด้วยพระวจนะแห่งความจริง และเราจะต้องระมัดระวังที่จะไม่รับสิ่งที่ทำให้เราแปดเปื้อนเข้ามาด้วย คำว่า ดีท็อกซ์ มีสองวิธี คือการล้างพิษ และไม่เพิ่มพิษเข้ามาในร่างกายด้วยการกินสิ่งที่เป็นพิษ เช่นเดียวกัน การชำระให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง คือการไม่เอาการโกหกหลอกลวง สิ่งที่ตรงกันข้ามกับความจริงของพระเจ้าเข้ามาในชีวิต วันนี้ มีอะไรบ้างที่เรารับเข้ามาในโสตประสาทสัมผัสของเรา ผ่านสื่ออะไร ประเภทไหน พระคัมภีร์เตือนคนในยุคโบราณถึงการดีท็อกทางด้านความคิด ซึ่งในยุคนั้นยังไม่มีทีวี ไม่มีสื่อต่างๆ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ที่กระตุ้นความอยากและทำให้ความคิดของคนในยุคนั้นเป็นพิษ นั่นคือนิยาย และสิ่งที่ทำให้อยากฟัง อยากดู…1ทิโมธี 4:7 7 อย่าใส่ใจกับเทพนิยายอันหาสาระมิได้ จงฝึกตนในทางธรรม 2ทิโมธี 3-4 3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่มีหลักไม่ได้ แต่เขาจะรวบรวมครูไว้ให้สอนในสิ่งที่เขาชอบฟัง เพื่อบรรเทาความอยาก4 เขาจะเลิกฟังความจริง และจะหันไปฟังเรื่องนิยายต่างๆ 2เปโตร 1:16 …เราไม่ได้คล้อยตามนิยายที่เขาแต่งขึ้นอย่างชาญฉลาด แต่เราเป็นพยานผู้รู้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระองค์ นี่คือคำเตือนในอดีตเมื่อสองพันปีที่แล้ว วันนี้ นิยายหรือสิ่งที่มนุษย์แต่งขึ้นกำลังระบาดไปทั่วทางสื่อต่างๆ ทั้งทางทีวี วิทยุ อินเตอร์เน็ต สื่อสิ่งพิมพ์ ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์คมากมาย คนกำลังติดกันงอมแงม แต่คนของพระเจ้าต้องไม่คล้อยตามความลุ่มหลงเหล่านั้น เราต้องยอมรับความจริงอันหนึ่งว่า มันมีเสน่ห์ที่ทำให้คนลุ่มหลงได้ มีคำๆหนึ่งที่กล่าวว่า ปัญหามีไว้ให้เราแก้ แต่การทดลองมีไว้เพื่อให้เราวิ่งหนี จงจำคำนี้ไว้ให้ดี และเอามาใช้อย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะการทดลองให้เราลุ่มหลงไปกับการโกหกหลอกลวง และอยู่ในโลกที่ตรงกันข้ามกับความจริงของพระเจ้า เราต้องรีบหนีออกจากตรงนั้นไปให้ไกล และรับการชำระด้วยความจริง พระเยซูคริสต์เจ้าตรัสว่า ยอห์น 8:32 32 และท่านทั้งหลายจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านทั้งหลายเป็นไท” ความรักที่เป็นผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะทำให้เรารักการชำระด้วยความจริง แต่การงานของเนื้อหนังจะทำให้เราเกลียดการชำระด้วยความจริง และไม่ยอมรับความจริง และไม่มีเสรีภาพที่จะเป็นพยานของพระเยซูคริสต์ได้ กิจการ1:8 8 แต่ท่านทั้งหลายจะได้รับพระราชทานฤทธิ์เดช เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นพยานฝ่ายเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย แคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” นี่คือผลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำให้รักแท้เกิดขึ้นภายในเรา เป็นฤทธิ์เดชที่ทำให้เราไม่ถอย ไม่เลิก ไม่ทิ้งชีวิตแห่งการเป็นพยานฝ่ายพระเยซูคริสต์ในทุกที่ที่เราไป โดยเฉพาะในกรุงเยรูซาเล็มซึ่งเป็นที่ที่ปฏิเสธพระเยซูที่แรกและยากที่จะเปิดตัวเป็นพยานของพระเยซู แต่ด้วยรักแท้…จากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทำให้สาวกยังยืนหยัดและขยายพื้นที่ประกาศและเป็นพยาน ให้เราถามตัวเราเองว่า เรากำลังพ่ายแพ้ความใกล้ชิดความมีเสน่ห์ของโลกนี้อยู่หรือไม่ รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด
ชีวิตที่ปราศจากที่ติ…ในด้านความรัก………….“รักแท้…ต้องไม่แพ้ใกล้ชิด”
1.ขอการปกป้องให้พ้นจากมารร้าย
2.ตระหนักเสมอว่าตนไม่ใช่ของโลกนี้
3.รับการชำระด้วยพระวจนะแห่งความจริงเสมอ