“การเลี้ยงดูของพระเจ้ามาทันเวลาเสมอ…..แต่อาจย้ายไปที่อื่นแทน”
การเลี้ยงดูของพระเจ้ามาทันเวลาเสมอ ในเวลาอันเหมาะสม ไครอสของพระเจ้า
การโยกย้าย คือการย้ายจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนี่ง เกิดขึ้นได้หลายเหตุผล อาจเพราะความไม่เหมาะสม ไม่สามารถ ไม่ใช่ หรือ มีความจำกัดด้วยอะไรบางอย่าง และการมาแทนที่ ก็อาจไม่ใช่เพราะดีกว่าเสมอไป แต่อาจเพราะต้องการพิสูจน์ความสามารถของผู้ที่เข้ามาจัดการ ท้าทายฝีมือความสามารถ เช่น นักพัฒนา นักสร้างสรร อยู่ที่ไหน หยิบจับอะไรที่คนอื่นใช้ไม่ได้ แต่เมื่อมาอยู่ในมือของคนเหล่านี้ กลับกลายเป็นของมีราคาขึ้น คำที่ยุคของเราใช้ก็คือ value added การเพิ่มคุณค่า
ตัวอย่างในพระคัมภีร์ มีคนที่สังคม หรือสัตว์บางชนิด ที่ไม่น่าจะใช้การได้ ไม่น่าจะพึ่งพาได้ แต่เมื่อมาอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้า กลับกลายเป็นอุปกรณ์อันทรงพลังของพระเจ้า และนี่คือเรื่องราวของผู้รับใช้พระเจ้าที่ชื่อเอลียาห์ กับหญิงม่ายชาวศาเรฟัท และอีกา ตัวหนึ่ง ในหนังสือ
1พงศ์กษัตริย์ 17:8-16 8 และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า9 “ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ”11 และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง”12 และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย”13 และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’ ”15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
ย้อนกลับไปยังที่มาที่ไปของความแห้งแล้งขัดสน ในบทเดียวกันนี้ ตั้งแต่ข้อที่หนึ่ง ความแห้งแล้งขัดสนนี้ มจากฝนไม่ตกต้องแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง และจะเป็นอย่างนี้นานถึงสามปีครึ่ง เป็นมาจากพระเจ้าที่ต้องการให้บทเรียนกับกษัตริย์อาหับที่กระทำสิ่งชั่วร้ายในสายพระเนตรของพระเจ้า
1พงศ์กษัตรยิ์ 17:1 1 ฝ่ายเอลียาห์ชาวทิชบีผู้ซึ่งตั้งอาศัยอยู่ในกิเลอาด ได้ทูลอาหับว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าแห่งอิสราเอล ผู้ซึ่งข้าพระบาทปฏิบัติทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด จะไม่มีน้ำค้างหรือฝนในปีเหล่านี้ นอกจากตามคำของข้าพระบาท”
บทสนทนาตอนนี้ เกิดขึ้นขณะที่เอลียาห์ได้เข้าเฝ้าอยู่ต่อหน้ากษัตริย์อาหับเพื่อจะตำหนิอาหับเรื่องรูปเคารพ และเตือนถึงผลลัพธ์จากรูปเคารพ (วันนี้ ในสูจิบัตรได้เขียนบางส่วนเกี่ยวกับพันธกิจที่เอลียาห์ทำในยุคนั้น) หลังจากนั้น พระเจ้าทรงเรียกให้เอลียาห์ไปซ่อนตัว ในช่วงที่เกิดกันดารอาหาร ฝนไม่ตก ที่ลำธาเครีธ และพระเจ้าทรงให้อีกาคาบขนมปังและเนื้อมาเลี้ยงเอลียาห์ทุกวัน
1 พงศ์กษัตริย์ 17:5-7 5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า ท่านไปอาศัยอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน6 และกาก็นำขนมปังและเนื้อมาให้ท่านในเวลาเช้า และนำขนมปังและเนื้อมาในเวลาเย็นและท่านก็ดื่มน้ำจากลำธาร7 และต่อมาภายหลังลำธารก็แห้ง เพราะไม่มีฝนในแผ่นดิน
คนของพระเจ้า ต้องรับมือกับสถานการณ์ยากลำบากนี้ แต่พระเจ้ามีวิธีเลี้ยงดู คนของพระองค์ (ด้วยช่องทางพิเศษ) สังเกตว่า เอลียาห์รับคำสั่งจากพระเจ้า และทำตาม (ยากไม๊ ลำบากของจริง) ในภาวะยากลำบากที่เอลียาห์รู้ว่า จะต้องเกิด และเกิดขึ้นแล้ว ต้องยอมรับความจริงว่าจะต้องเผชิญกับความยากลำบากนี้อย่างไร โดยการพึ่งพาพระเจ้า
5 ท่านจึงไปและกระทำตามพระวจนะของพระเจ้า…. พระวจนะว่ายังไง
2 แล้วพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า3 “จงออกไปจากที่นี่และหันไปทางตะวันออก และซ่อนตัวอยู่ที่ข้างลำธารเครีท ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดน4 เจ้าจะดื่มน้ำจากลำธาร และเราได้บัญชาให้กาเลี้ยงเจ้าที่นั่น”
พระวจนะของพระเจ้าจะชัดเจน ว่าต้องอยู่ตรงไหน ใช้ชีวิตอย่างไร อาศัยอะไรเลี้ยงชีพ รักษาชีวิต ที่สำคัญ อีกา เป็นสัตว์ที่ยากจะแบ่งปันอาหารของมันให้กับใคร แต่คราวนี้ พระเจ้าใช้อีกาเอาอาหาร (ขนมปังและเนื้อ) มาเลี้ยงคนของพระองค์ จนกว่าน้ำในลำธารแห้ง (แล้งจัด) นี่ไม่ใช่ภาวะแค่เงินฝืด แต่ไม่มีอะไรจะกินแล้ว
8 และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า9 “ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”
นี่เป็นความเสี่ยงที่ต้องใช้ความเชื่อของเอลียาห์ในการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า เพราะว่า การไปในพื้นที่ที่ขึ้นกับเมืองไซดอน เป็นอะไรที่อันตรายมาก เพราะเวลานั้น พระนางเยเซเบล(มเหสีของกษัตริย์อาหับลั่นวาจาว่า จะเอาชีวิตของเอลียาห์ เพราะเอลียาห์ได้ประหารพวกนักบวชของนางตายหมด) แค้นนี้ต้องชำระ และเยเซเบล เป็นราชธิดาของกษัตริยเมืองไซดอน แน่นอนว่า เอลียาห์กำลังเสี่ยงถึงชีวิตในการที่จะต้องไปที่เมืองศาเรฟัทตามคำบัญชาของพระเจ้า ความเชื่อที่จะดำรงชีวิตอยู่ต่อไป เอลียาห์ต้องรักษาชีวิตการเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้าเอาไว้ เปลี่ยนจากหนี เป็นเข้าไป และอยู่ในพื้นที่แห่งความเกลียดของเยเซเบล
10 ท่านจึงลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัท และเมื่อมาถึงประตูเมือง ดูเถิด หญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นกำลังเก็บฟืน ท่านจึงเรียกนางว่า “ขอน้ำเล็กน้อยใส่ภาชนะมาให้ฉัน เพื่อฉันจะได้ดื่มน้ำ”11 และขณะเมื่อนางจะไปเอาน้ำมา ท่านก็เรียกนางแล้วบอกว่า “ขอนำอาหารใส่มือมาให้ฉันสักหน่อยหนึ่ง”
เอลียาห์รับพระวจนะจากพระเจ้าว่า พระองค์จะให้หญิงม่ายเลี้ยงดู ในยามยากลำบาก คำว่า หญิงม่ายก็บ่งบอกถึงสถานะที่แย่อยู่แล้ว ยังจะต้องไปให้หญิงม่ายเลี้ยงดูอีก เลอียาห์รู้ว่า ในสถานการณ์แบบนี้ ยากที่จะเอ่ยปากขอความช่วยเหลือ แต่เพราะนี่คือคำสั่งของพระเจ้า เอลียาห์ต้องทำตาม และอะไรเกิดขึ้น หญิงม่ายตอบเอลียาห์อย่างชนิดที่ถ้าคนอื่นได้ยิน ก็น่าอายมาก
12 และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย”
คำว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้า….ทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เป็นคำเดียวกันกับที่เอลียาห์ใช้พูดด้วยสิทธิอำนาจในการเตือนกษัตริย์อาหับ เรื่องผลจากบาปที่อาหับไม่เชื่อฟังเรื่องรูปเคารพ จะทำให้ฝนไม่ตกต้องแผ่นดิน ส่งผลกระทบไปทั่วทั้งหมด มาถึงตอนนี้ หญิงม่ายชาวศาเรฟัทได้เอาประโยคนี้มาย้อนกับเอลียาห์โดยไม่รู้ที่มาที่ไปอย่างไร เป็นเอลียาห์ ก็น่าจะรู้สึกเจ็บปวด ในการต้องใช้คำว่า พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด เอลียาห์จะต้องอดทน และรักษาชีวิตให้อยู่รอดตามที่พระเจ้าสั่ง ด้วยการตอบหญิงม่ายว่า
13 และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’ ”
จงไปทำตามที่เจ้าพูด คือ ทำอาหารเพื่อจะกิน กับลูกด้วย(แม้จะน้อยจากการต้องแบ่งส่วนให้เอลียาห์ก่อน) ตรงนี้ แสดงถึงความเชื่อของเอลียาห์ กำลังถ่ายทอดไปยังหญิงม่าย เสี่ยงอีกรอบ ที่จะถูกหญิงม่ายตำหนิ และอาจเจอสังคมตำหนิ คนอ่านอย่างเราก็อาจจะตำหนิ หาว่า เอาเปรียบหญิงม่าย แต่เอลียาห์ไม่ไดจบแค่ตรงนั้น ยังมีคำที่น่าสนใจ คือประโยคที่ว่า 14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’ ”
นี่เป็นถ้อยคำพยากรณ์ของเอลียาห์เอง ไม่ใช่พระวจนะของพระเจ้าที่มาถึงเอลียาห์ พระเจ้าเพียงแค่ตรัสว่า
8 และพระวจนะของพระเจ้ามายังท่านว่า9 “ลุกขึ้นไปยังเมืองศาเรฟัทเถิด ซึ่งขึ้นแก่เมืองไซดอน และอาศัยอยู่ที่นั่น ดูเถิด เราได้บัญชาหญิงม่ายคนหนึ่งที่นั่นให้เลี้ยงเจ้า”
คำของเอลียาห์ ที่มีความเชื่อเวลานี้ เต็มขนาดของความเชื่อที่พร้อมจะรับการเลี้ยงดูของพระเจ้าที่มาทันเวลาแล้ว เอลียาห์มองเห็นเข้าไปในไหแป้งและไหน้ำมันของหญิงม่ายจะไม่ขาดตลอดช่วงเวลาที่ยากลำบาก ขณะที่หญิงม่ายเลี้ยงดูผู้รับใช้ของพระเจ้า
นี่เป็นอะไรบางอย่างที่ท้าทายสันชาตญาณการอยู่รอดของคน เรื่องปากท้องที่สำคัญ เวลานี้ ถูกท้าทายด้วยความเชื่อฟัง จากคำของพระเจ้าที่ทรงใช้คำว่า พระองค์ทรงบัญชาหญิงม่ายให้เลี้ยงเอลียาห์ (อย่างเฉพาะเจาะจง) เอลียาห์เชื่อ ว่าสิ่งที่เขาพูดกับหญิงม่ายเป็นคำบัญชาของพระเจ้า นางจะเชื่อ และนางก็เชื่อจริงๆ (Amazing) หญิงม่ายคนนี้ก็ยอมเสี่ยง อาหารมื้อสุดท้าย ของนางและลูกชาย
15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์
วันนี้ ไหแป้งและไหน้ำมันของพี่น้อง กำลังต้องการความเชื่อจากพระวจนะของพระเจ้าที่ผ่านคริสตจักรของพระองค์ ความเชื่อของผู้รับใช้ของพระเจ้าต้องร่วมกันกับสมาชิก อย่างความเชื่อของเอลียาห์และหญิงม่ายต้องร่วมกัน ทำให้สามารถผ่านความยากลำบากช่วงนี้ไปให้ได้ จนกว่าฝนจะเทลงมาอีกครั้ง
และเรื่องราวในประวัติศาสตร์ตอนนี้ ได้กลายเป็นประวัติศาสตร์ของประวัติศาสตร์คนอิสราเอลในยุคของพระเยซูคริสต์ ที่น่าสนใจ พระเยซูได้นำเรื่องราวของเอลียาห์ และหญิงม่ายชาวศาเรฟัท มาตอบโต้พวกยิวในธรรมศาลาที่ไม่ยอมรับพระเยซู ด้วยการปรามาทพระองค์ว่าเป็นแค่ลูกช่างไม้ ยากจน พูดตามภาษาชาวบ้าน ก็คือ พระเยซูไม่มีเงิน จะมาเป็นผู้นำให้กับคนอิสราเอลให้พ้นความทุกข์ยากลำบากในเวลานั้นได้อย่างไร
ลูกา 4:24-27 24 พระองค์ตรัสอีกว่า “เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ไม่มีผู้เผยพระวจนะคนใดได้รับการต้อนรับในเมืองของตน25 แต่เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า มีหญิงม่ายหลายคนในพวกอิสราเอล ในคราวเอลียาห์เมื่อท้องฟ้าปิดเสียถึงสามปีกับหกเดือน จึงเกิดกันดารอาหารมากทั่วแผ่นดิน26 และเอลียาห์มิได้รับใช้ให้ไปหาหญิงม่ายคนใด เว้นแต่หญิงม่ายคนหนึ่งในบ้านศาเรฟัทแขวงเมืองไซดอน
คนยิวเหล่านั้น โกรธ นี่คือประวัติศาสตร์ของการย้ายพระพรการเลี้ยงดูจากคนอิสราเอล ไปสู่คนต่างชาติ (หญิงม่ายชาวศาเรฟัท) ความโกรธของคนยิวในเวลานั้นที่ถูกตอบโต้กลับด้วยความจริงของประวัติศาสตร์ พวกเขาจึงหมายจะฆ่าพระเยซู ด้วยการผลักให้ตกหน้าผา
29 จึงลุกขึ้นผลักพระองค์ออกจากเมือง พาไปยังแง่ของเงื้อมเขาที่เมืองของเขาซึ่งตั้งอยู่บนเนินนั้น หมายจะผลักพระองค์ลงไป30 แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป
คำว่า แต่พระองค์ทรงดำเนินผ่านท่ามกลางเขาพ้นไป การบันทึกพระคัมภีร์ตอนนี้ อาจบ่งบอกว่า นี่คือ การย้ายพันธกิจของพระองค์ไปจากนาซาเร็ธ นับจากนั้น ชาวนาซาเร็ธ ที่เป็นบ้านที่พระเยซูทรงเติบโต ก็ไม่ได้รับการเยี่ยมเยียนจากพระเยซู ไม่พบการบันทึกในพระคัมภีร์ว่าพระเยซูทรงกลับไปยังนาซาเร็ธอีก จากเหตุการณ์ที่คนยิวมาล้อมพระเยซูที่นาซาเร็ธ ทำให้พระเยซูไปที่เมืองคาเปอนาอุมแทน
ลูกา 4:31-32,36-37 31 พระองค์เสด็จลงไปถึงเมืองคาเปอรนาอุมแคว้นกาลิลี และได้ทรงสั่งสอนเขาทั้งหลายในวันสะบาโต32 คนทั้งปวงก็อัศจรรย์ใจด้วยการสอนของพระองค์ เพราะคำของพระองค์ประกอบด้วยสิทธิอำนาจ….36 คนทั้งปวงก็ประหลาดใจนัก พูดกันว่า “คนนี้เป็นอย่างไรหนอ เพราะว่าท่านได้สั่งผีโสโครกด้วยสิทธิอำนาจและด้วยฤทธิ์เดช พวกมันก็ออกมา” 37 กิตติศัพท์ของพระองค์จึงได้เลื่องลือไปทุกตำบลที่อยู่รอบนั้น
ชาวเมืองอื่นได้รับพระพรจากการทำพันธกิจของพระเยซู ที่ควรจะเกิดที่นาซาเร็ธ เหมือนกับที่หญิงม่ายชาวศาเรฟัทได้รับการเลี้ยงดูผ่านพันธกิจของเอลียาห์ จงเรียนรู้ประวัติศาสตร์การเลี้ยงดูและพันธกิจของพระเจ้า และอย่าย่ำในรอยของประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์ ตอนนี้ เพราะ
“การเลี้ยงดูของพระเจ้ามาทันเวลาเสมอ…..แต่อาจย้ายไปที่อื่นแทน”
- เคยเกิดขึ้นแล้ว ก็อาจเกิดขึ้นอีก
- การเลี้ยงดูจะมาในที่มีการยอมรับ และร่วมมือ กับพระเยซู
- ต้องใช้ความเชื่อ คู่กับการเชื่อฟัง