“ชีวิตที่ปราศจากตำหนิ….เชื่อฟัง”
คำว่า เชื่อฟัง รากศัพท์ภาษาฮีบรู “ชามา” มีความหมายแปลว่า การฟังอย่างชาญฉลาด ฟังด้วยความสนใจ ฟังด้วยความเชื่อฟัง ในพระคัมภีร์เดิม จากหนังสือเฉลยธรรมบัญญัติ 28:1 1 “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟังพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน และระวังที่จะกระทำตามพระบัญญัติของพระองค์ซึ่งข้าพเจ้าบัญชาท่านในวันนี้ พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านจะทรงตั้งท่านไว้ให้สูงกว่าบรรดาประชาชาติทั้งหลายทั่วโลก “ถ้าท่านทั้งหลายเชื่อฟัง” ใช้ซ้อนกันสองครั้ง “ชามา ชามา” ฟังด้วยความฉลาด ฟังด้วยความฉลาด นั่นคือไม่ใช่ฟังความเข้าใจของตนเองอย่างเดียว แต่ฟังความเข้าใจจากพระเจ้าด้วย การฟังด้วยความเข้าใจ ต้องฟังซ้ำ ยากอบ 1:19 ดูก่อนพี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงทราบข้อนี้ จงให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ การไวในการฟัง ไม่ได้หมายความว่า เป็นพวกหูไว จับคำพูดของคนมากระเดียด แต่การไวในฟัง คือการฟังอย่างฉลาด และการฟังอย่างฉลาดไม่ใช่ฟังแต่เสียงจากมนุษย์ แต่เป็นการฟังซ้ำมากกว่าหนึ่งครั้ง คือการฟังเสียงของพระเจ้าย้ำ เรามักได้ยินคำตอบของคนที่แสดงความรำคาญการฟังคำเตือน ด้วยประโยคที่ว่า เออ ได้ยินแล้ว ไม่ต้องพูดซ้ำได้ไม๊ นั่นคือ คนที่ไม่ได้ฟังอย่างฉลาดแต่ข้าพเจ้าก็ไม่อยากให้คนพูดกลายเป็นคนพูดอะไรซ้ำๆ พูดมากเป็นน้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง คือพูดอย่างไร้สาระ พระคัมภีร์ยากอบไม่ได้ให้เราปฏิเสธที่จะฟังเสียงมนุษย์ แต่ต้องฟังเสียงมนุษย์ด้วยจิตวิเคราะห์ ในขณะวิเคราะห์ คำว่า ช้าในการพูด คือฟังมากกว่าพูด นี่เป็นสิ่งที่ทำยากมาก สำหรับคนที่กำลังมีอคติ มีความลำเอียง ยากอบจึงได้กล่าวถึงความลำเอียงถูกจัดอยู่ในจำพวกกลุ่มเดียวกันกับการไม่เชื่อฟัง ยากอบ 3:17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด เราจะเห็นที่นี่ว่า การลำเอียง ทำให้ไม่สามารถเป็นคนที่เชื่อฟังได้ ปัญญาจากเบื้องบนอันแรกคือ ความบริสุทธิ์ แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย คำว่า “ว่าง่าย” ก็คือการเชื่อฟัง ภาษากรีกแปลว่า เหมาะสำหรับการเชิญชวน Good for persuasion น่าจะตีความเข้าใจว่า เป็นคนที่เหมาะสำหรับการเชิญให้ทำดี หนังสือสุภาษิตจะใช้บ่อยๆด้วยคำว่า ตักเตือน การตักเตือนคือการเชิญชวนให้ทำดี แต่คนที่ปฏิเสธการตักเตือน คือคนที่ไม่ยอมฟังอย่างฉลาด ไม่ฟังเสียงของพระเจ้าที่มากับคำตักเตือน พระธรรมสุภาษิตกล่าวถึงคนที่เหมาะกับไม่เหมาะะสำหรับการเชิญชวนให้ทำดีว่า คนประเภทนี้จะได้รับการตอบสนองหรือไม่ได้รับการตอบสนองจากพระเจ้าสุภาษิต 1:28-33 28 แล้วเขาจะทูลเรา แต่เราจะไม่ตอบ เขาจะแสวงหาเรา แต่จะไม่พบเรา29 เพราะว่าเขาเกลียดความรู้ และไม่เลือกเอาความยำเกรงพระเจ้า 30 เขาไม่รับคำแนะนำของเราเลย แต่กลับดูหมิ่นคำตักเตือนของเราทั้งสิ้น 31 เพราะฉะนั้น เขาจะกินผลแห่งทางของเขา และอิ่มด้วยกลวิธีของเขาเอง 32 เพราะคนโง่ถูกฆ่า ก็ด้วยการหันกลับจากปัญญานั่นเอง และคนโง่ที่หลงเพลิดเพลินก็ถูกทำลาย 33แต่บุคคลผู้ฟังเรา จะอยู่อย่างปลอดภัย เขาจะอยู่อย่างสุขสงบ ปราศจากความคิดพรั่นพรึงในความชั่วร้าย” คำว่า “ชามา” (การฟังอย่างฉลาด คือฟังเสียงของพระเจ้าถูกใช้ในหนังสือสุภาษิต เป็นเรื่องเดียวกันกับการไวในการฟัง ช้าในการพูด คำถามก็คือว่า เรากำลังฟังแบบไหน และเรากำลังพูดอะไร เมื่อวานมีเหตุการณ์บางอย่างที่ทำให้ข้าพเจ้าไม่สามารถเตรียมเทศนาในวันนี้ได้ ความเหน็ดเหนื่อย ทำให้เราไม่มีแรงต้านกับความชั่วร้าย และทำให้เราทำบาปด้วยอารมณ์ ขอพระเจ้ายกโทษ ข้าพเจ้าทำผิดเรื่องคำพูด ไม่อยากอยู่บ้าน บ้านไม่น่าอยู่ ไม่อยากอยู่ร่วมกับคนในบ้าน ข้าพเจ้ารีบอาบน้ำ นอนแต่วัน การนอนคือการปิดสวิทการฟังเสียงมนุษย์และเสียงตัวเองได้ดีที่สุด และตื่นเช้า เปิดสวิทใหม่ เพื่อฟังเสียงของพระเจ้า ข้าพเจ้าคิดอย่างคน คือจะเทศน์อย่างคนที่ต้องทำหน้าที่เทศน์ เทศน์ให้จบ หมดหน้าที่ แต่เสียงของพระเจ้าตรัสกับข้าพเจ้าว่า เจ้าต้องเทศน์อย่างคนที่ฟังเสียงของพระเจ้า มิใช่ฟังเสียงของตนเอง มิฉะนั้น เจ้าจะสูญเสียพระสิริอย่างที่อาดัมและเอวาสูญเสีย มนุษย์คู่แรกสูญเสียพระสิริของพระเจ้าอย่างไร
1.การเชื่อฟัง…ได้เสื้อแห่งความชอบธรรม ปฐมกาล 3:6-11
6 เมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นน่ากิน และน่าดูด้วย ทั้งเป็นต้นไม้ที่มุ่งหมายจะให้เกิดปัญญา จึงเก็บผลไม้นั้นมากิน แล้วส่งให้สามีกินด้วย เขาก็กิน7 ตาของเขาทั้งสองคนก็สว่างขึ้น จึงสำนึกว่าตนเปลือยกายอยู่ ก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บเป็นเครื่องปกปิดร่างไว้8 เวลาเย็นวันนั้น เขาทั้งสองได้ยินเสียงพระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ชายนั้นกับภรรยาก็หลบไปซ่อนตัวอยู่ในหมู่ต้นไม้ในสวนนั้น ให้พ้นจากพระพักตร์พระเจ้า9 พระเจ้าทรงเรียกชายนั้นและตรัสถามเขาว่า “เจ้าอยู่ที่ไหน” 10 ชายนั้นทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวนก็เกรงกลัว เพราะข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ จึงได้ซ่อนตัวเสีย”11 พระองค์จึงตรัสว่า “ใครเล่าบอกเจ้าว่าเจ้าเปลือยกาย เจ้ากินผลไม้ที่เราห้ามมิให้กินนั้นแล้วหรือ” การไม่เชื่อฟังทำให้เกิดการสูญเสียพระสิริที่ห่อหุ้มชีวิต เมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ทรงสวมพระฉายาของพระองค์ให้กับมนุษย์ พระฉายาที่เป็นพระสิริของพระเจ้าปกคลุมร่างกายของมนุษย์แทนการสวมใส่เสื้อผ้า พระสิริของพระเจ้ามีมากจนเป็นเสื้อคลุมกายของมนุษย์คู่แรกได้ แต่เมื่ออาดัมและเอวาไม่เชื่อฟัง พระสิริที่คลุมกายได้หายไป กลายเป็นความน่าอาย ความเปลือยกาย มีเรื่องเล่าของคนที่เคยเป็นสาวกซาตานระดับ Top Hundred หลังจากกลับใจมาเชื่อพระเจ้า เขาได้เปิดเผยว่า ในช่วงที่เขาเป็นสาวกซาตาน ซาตานได้ให้อำนาจแก่เขาที่จะมองเห็นคนที่ทำบาป มีสภาพเปลือยกาย แม้จะสวมใส่เสื้อผ้า เขารู้ว่า คนที่เปลือยกายเหล่านั้นคือเป้าหมายที่จะทำลายได้ง่าย และเขาก็เข้าทำลายด้วยอำนาจที่ซาตานได้ให้แก่เขา ซึ่งดูเหมือนเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ความจริงมาจากการกระทำของเขา และเมื่อเขาเห็นใครไม่ได้เปลือยกาย นั่นคือคริสเตียนที่กลับใจใหม่ เป้าหมายของเขาก็คือทำให้คริสเตียนคนนั้นทำบาป เพื่อจะกลับมาเปลือยกายอีกครั้ง และก็ทำลาย คำถามก็คือว่า เรากำลังเป็นคริสเตียนที่เปลือยกายอยู่หรือเปล่า ถ้าเราเปลือยกายในสายพระเนตรของพระเจ้า พระเจ้าจะทรงหาทางช่วยเรา แต่ถ้าเราเปลือยกายในสายตาของสาวกของมารซาตาน คุณคือเป้าหมายของการทำลาย หมือนกับพวกนักตกทอง ที่มองเห็นว่าใครกำลังโลภเขาจะหากินกับคนที่โลภ และคนที่โลภก็มักจะเป็นเหยื่อของนักตกทอง วันนี้ วิธีการจากตกทองกลายเป็นการลงทุน อย่างเช่นหุ้นยูฟันที่คนมากมายกำลังเป็นเหยื่อ เพราะหวังได้ผลตอบแทนกำไรที่มากจนไม่รู้สึกผิดปกติ เพราะความโลภ ไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ทุกอย่างต้องลงทุน ลงแรง ความรอดของเราทั้งหลายก็เช่นกัน เราได้มาฟรีๆ เพราะมีใครคนหนึ่งต้องตายแทนเรา เราได้เสื้อแห่งความชอบธรรมมาปกปิดความน่าอายของเรา เพราะพระเยซูได้หลั่งเลือดแทนเรา วิวรณ์ 3:3-6 3 เหตุฉะนั้นเจ้าจงระลึกว่าเจ้าได้รับและได้ยินอะไร จงกระทำตามและกลับใจเสียใหม่ ถ้าเจ้าไม่เฝ้าระวัง เราจะมาหาเจ้าเหมือนอย่างขโมย และเจ้าจะไม่รู้ว่าเราจะมาหาเจ้าเมื่อไร4 แต่ก็มีพวกเจ้าสองสามคนที่เมืองซาร์ดิส ที่ไม่ได้กระทำให้เสื้อผ้าของตนมีมลทิน และเขาเหล่านั้น จะแต่งตัวสีขาวเดินไปกับเรา เพราะว่าเขาเป็นคนที่สมควรแล้ว5 ผู้ใดมีชัยชนะ ผู้นั้นจะสวมเสื้อสีขาว และเราจะไม่ลบชื่อผู้นั้นออกจากหนังสือแห่งชีวิต เราจะรับรองชื่อผู้นั้นต่อพระพักตร์พระบิดาของเรา และต่อหน้าเหล่าทูตสวรรค์ของพระองค์6 ใครมีหูก็ให้ฟังข้อความซึ่งพระวิญญาณได้ตรัสไว้แก่คริสตจักรทั้งหลายเถิด’วิวรณ์ 16:15 (นี่แน่ะ เราจะแอบย่องมาเหมือนขโมย ผู้ที่ตื่นอยู่และรักษาเสื้อผ้าของตนไว้อย่างดีจะเป็นสุข เพราะว่าเขาไม่ต้องเดินเปลือยกายให้คนทั้งหลายเห็น) การเสด็จมาของพระเยซูคริสต์เจ้าทำให้มนุษย์ได้รับพระสิริของพระเจ้าที่สูญเสียไปเมื่อครั้งที่มนุษย์คู่แรกทำบาป ไม่เชื่อฟัง นี่คือสิ่งที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงพระเยซูเป็นอาดัมคนที่สอง ที่นำการเชื่อฟังกลับมาก็คือการนำพระสิริของพระเจ้ากลับคืนมาสวมใส่ให้กับมนุษย์ที่เชื่อฟังอีกครั้ง โรม5:17 เพราะว่าถ้าโดยการละเมิดของคนนั้นคนเดียว เป็นเหตุให้ความตายครอบงำอยู่โดยคนนั้นคนเดียว มากยิ่งกว่านั้นคนทั้งหลายที่รับพระกรุณาอันไพบูลย์ และรับของประทานคือความชอบธรรมก็จะดำรงชีวิต และครอบครองโดยพระองค์ผู้เดียว คือพระเยซูคริสต์…..โรม. 5:19 เพราะว่าคนเป็นอันมากเป็นคนบาป เพราะคนคนเดียวที่มิได้เชื่อฟังฉันใด คนเป็นอันมากก็เป็นคนชอบธรรม เพราะพระองค์ผู้เดียวที่ได้ทรงเชื่อฟังฉันนั้น วิวรณ์ 7:14 ….“คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดก จนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด พระเมษโปดกแปลว่า แกะของพระเจ้า หมายถึงพระเยซูคริสต์ พระเยซูคริสต์ทรงยอมเป็นแกะเครื่องบูชา สำหรับการไถ่บาป ทรงให้เสื้อผ้าใหม่ที่สะอาดแก่เรา หน้าที่ของเราคือรักษาเสื้อผ้าสีขาวนี้ไว้ด้วยการเชื่อฟัง เพราะเสื้อผ้าสีขาวนี้ เราได้มาจากการเชื่อฟังของพระเยซู ฟิลิปปี2:8 และเมื่อทรงปรากฏพระองค์ในสภาพมนุษย์แล้ว พระองค์ก็ทรงถ่อมพระองค์ลงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งความมรณาที่กางเขน พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างของการเชื่อฟัง ทำให้คนมากมายได้รับเสื้อแห่งความชอบธรรม แต่สำหรับเราทั้งหลายที่จะรักษาเสื้อผ้าที่ได้รับคือการเชื่อฟังอย่างพระเยซูที่อ.เปาโลได้กล่าวไว้ในหนังสือโรม8:36-37 36 ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่า เพราะเห็นแก่พระองค์ ข้าพระองค์จึงถูกประหารวันยังค่ำ และนับว่าเป็นแกะสำหรับจะเอาไปฆ่า 37 แต่ว่าในเหตุการณ์ทั้งปวงเหล่านี้ เรามีชัยเหลือล้นโดยพระองค์ผู้ได้ทรงรักเราทั้งหลาย การเชื่อฟังของเราแตกต่างจากพระเยซู เพราะการยอมเชื่อฟังของเราเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง เรากำลังรักษาเสื้อผ้าสีขาวของเราเองเอาไว้จนถึงวันที่พระเยซูเสด็จมา ให้เสื้อสีขาวนี้ปราศจากตำหนิ พฤติกรรมที่น่าอายที่แท้จริง ก็คือพฤติกรรมที่ทำให้เราเปลือยกายในสายตาของพระเจ้า ผู้ทรงมองเห็นเราทะลุปรุโปร่ง คนที่ซ่อนสิ่งที่น่าอายของตน ไม่นำมาถึงการสารภาพบาปและกลับใจใหม่ คือคนที่เปลือยกาย แต่คนที่โปร่งใส Transparency ไม่ได้ซ่อนสิ่งที่น่าอาย จะรับได้กับคำเชิญชวนให้ปรับปรุงแก้ไข เปลี่ยนแปลง นี่แหล่ะคือชีวิตที่สวมเสื้อแห่งความชอบธรรม เสื้อสีขาวปราศจากตำหนิที่แท้จริง หากเราสังเกตแนวโน้มของคนในยุคสมัยของเรา เราจะพบว่า ความเข้มข้นของการเชื่อฟังของคนสมัยนี้เจือจางลงไป ไม่มีการใส่ใจกับการเชื่อฟัง มีแต่จะทำอะไรตามใจตนเอง ยากมากสำหรับการเชิญชวนให้ปรับปรุงแก้ไข สำหรับคนที่ติดอยู่กับกระแสโซเชียล กระแสทีวี กระแสค่านิยมของโลกนี้ คุณลองไปเชิญชวนให้คนเหล่านี้ฟังคำตักเตือน ฟังคำสอน คุณจะถูกคนพวกนี้ตะคอก ด่ากลับ และชวนทำสงครามประสาทด้วย คุณจะหัวเสีย และกลายเป็นติดเชื้อของคนพวกนี้ เหมือนกับหนังเรื่องผีดิบซอมบี้ ที่กัดใคร คนที่ถูกกัดนั้นก็กลายเป็นซอมบี้ไปด้วย นั่นคือติดเชื้อของการไม่เชื่อฟัง
2.การไม่เชื่อฟัง…สูญเสียทุกอย่าง 2 เธสะโลนิกา 3:10-15
10 แม้เมื่อเราอยู่กับพวกท่าน เราก็ได้กำชับอย่างนี้ว่า ถ้าผู้ใดไม่ยอมทำงาน ก็อย่าให้เขากิน11 เพราะเราได้ยินว่า มีบางคนในพวกท่านอยู่อย่างเกียจคร้าน ไม่ทำงานอะไรเลย แต่ชอบยุ่งกับธุระของคนอื่น12 เรากำชับและเตือนสติคนเช่นนั้นในพระนามพระเยซูคริสตเจ้าว่า ให้เขาทำงานด้วยใจสงบและหากินเอง13 ดูก่อนพี่น้องทั้งหลาย ท่านอย่าอ่อนใจที่จะกระทำการดีเลย 14 ถ้าผู้ใดไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเราในจดหมายฉบับนี้ จงจดจำคนนั้นไว้ อย่าสมาคมกับเขาเลยเพื่อเขาจะได้อาย15 อย่าถือว่าเขาเป็นศัตรู แต่จงเตือนสติเขาฉันพี่น้อง คนที่ไม่เชื่อฟัง คือคนที่น่าอาย เปลือยกายอยู่แล้ว พฤติกรรมของคนไม่เชื่อฟัง จะแสดงออกถึงการไม่แก้ไขไม่เปลี่ยนแปลง ยังทำเหมือนเดิม คือเกียจคร้าน ไม่ยอมทำงาน ชอบยุ่งกับธุระของคนอื่นก็คือ ชอบเผือก ฟังไม่ได้ศัพท์ ก็โต้ตอบกันอย่างเผ็ดร้อนดุเดือด อย่าสมาคม คือคำแนะนำให้อย่าเชื่อฟังคำพูดของคนเหล่านั้น อย่าใส่ใจ อย่าสนใจ เพื่อให้เขาได้อาย และเพื่อเราจะไม่เปลือยกายอย่างคนไม่เชื่อฟังทำ 1ทิโมธี 4:1-2 1 พระวิญญาณได้ตรัสไว้อย่างชัดแจ้งว่า ต่อไปภายหน้าจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ2 ซึ่งมาจากการหน้าซื่อใจคดของคนที่โกหก คือคนที่จิตสำนึกเป็นทาสของมาร เรากลับมาที่หนังสือยากอบอีกครั้ง ยากอบ 3:17 แต่ปัญญาจากเบื้องบนนั้นบริสุทธิ์เป็นประการแรก แล้วจึงเป็นความสงบสุข สุภาพและว่าง่าย เปี่ยมด้วยความเมตตาและผลที่ดี ไม่ลำเอียง ไม่หน้าซื่อใจคด หน้าซื่อใจคดอยู่ในกลุ่มเดียวกับความลำเอียง และตรงกันข้ามกับการว่าง่าย คือการเชื่อฟัง ดังนั้น คนที่ไม่เชื่อฟัง ที่หนังสือ1ทิโมธีกล่าวถึงตอนนี้ คือคนจำพวกที่ละทิ้งความเชื่อ นั่นหมายถึงคริสเตียนที่เคยมีความเชื่อ แต่ได้ละทิ้งความเชื่อไปเชื่อฟังใคร เชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจ อะไรที่มากับวิญญาณที่ล่อลวงและคำสอนของพวกผีปีศาจ คำว่า ล่อลวง และผี คนไทยเรามีคำว่า ผีหลอก ผีหลอกไม่มาแหกอกควักไส้อย่างในหนังผี วิญญาณที่อยู่เบื้องหลังที่หลอกลวงในยคของเราทุกวันนี้ที่มีอิทธิพลมากที่สุด ได้แก่ ละคร (โลกมายา) มายาแปลว่า อะไร N. illusion syn:{สิ่งลวงตาลวงใจ}{การหลอกลวง}{การลวง}{ความเข้าใจผิด โลกมายาตอนนี้เข้าไปทุกบ้าน ผ่านทางสื่อทีวี มีคนถามข้าพเจ้าว่า ดูทีวีดูละครทำลายสมองอย่างไร ข้าพเจ้าตอบว่า คือการปล่อยให้สมองถูกยัดเยียดด้วยสิ่งที่เป็นสิ่งหลอกลวง สิ่งที่ไม่ใช่ความจริง เราได้เห็นการต่อสู้กันทางการเมืองด้วยการยึดเอาทีวีเป็นสื่อที่บังคับให้คนดูแต่สิ่งที่ต้องการให้ดู รู้ในสิ่งที่ต้องการให้รู้แค่นั้น พระคัมภีร์บอกเราให้อย่าสมาคมกับคนที่ไม่เชื่อฟัง เพราะคนเหล่านี้หันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังผีปีศาจ คนเหล่านี้จะมีแต่คำพูดและพฤติกรรมที่มาจากวิญญาณที่ไม่เชื่อฟัง และมาจากผีปีศาจ มิได้มาจากพระเจ้า คนที่ไม่เชื่อฟังเหล่านี้ทำตัวเป็นเหมือนคนที่เชื่อพระเจ้า ยากอบ 2:19 ท่านเชื่อว่าพระเจ้าทรงเป็นหนึ่ง นั่นก็ดีอยู่แล้ว แม้พวกปีศาจก็เชื่อ และกลัวจนตัวสั่น ยากอบ 3:15 ปัญญาเช่นนี้ ไม่เหมือนปัญญาที่มาจากเบื้องบน แต่เป็นปัญญาอย่างโลกและเป็นโลกียวิสัย และเป็นเช่นปีศาจ การอย่าสมาคมกับคนที่ไม่เชื่อฟัง คนแรก คือ คนที่อยู่ในโลกมายา อยู่กับทีวีมาก ผลของชีวิตคนเหล่านี้ ฉุนเฉียว อารมณ์ขึ้นง่ายเหมือนคนติดยาเสพติด ที่จะลงแดงถ้าไม่ได้ดูทีวี เรารังเกียจคนที่ติดยาเสพติด ขอให้เรารังเกียจคนที่ดูทีวี มีผู้ชายคนหนึ่งมาเข้ากลุ่มที่ศรีธัญญาครั้งแรก เขาได้พูดว่า อย่าติดยาเสพติดเหมือนกับเขาที่ติด สูญเสียทุกอย่าง ตกงาน ไม่มีเงิน และต้องมาศรีธัญญาเพราะป่วยจากยาเสพติดที่ทำลายสมอง ข้าพเจ้าขอบอกกับพี่น้องว่า การติดทีวี ร้ายแรงกว่าติดยาเสพติดหลายเท่า เพราะคุณจะสูญเสียการเชื่อฟังพระเจ้า สูญเสียพระเยซูคริสต์ เพราะพระเยซูคริสต์เป็นความจริง ในขณะที่คุณดูทีวี คุณกำลังอยู่ในการหลอกลวง โลกมายา การสูญเสียพระเยซู คือการสูญเสียทุกอย่าง วิวรณ์ 22:14-17 14 คนทั้งหลายที่ชำระเสื้อผ้าของตนก็เป็นสุข เพื่อว่าเขาจะได้มีสิทธิ์ในต้นไม้แห่งชีวิต และเพื่อเขาจะได้เข้าไปในนครนั้นโดยทางประตู15 ภายนอกนั้นมีสุนัข คนใช้เวทมนตร์ คนล่วงประเวณี คนฆ่ามนุษย์ คนไหว้รูปเคารพ ทุกคนที่รักการมุสาและประพฤติตาม 16 “เราคือเยซูผู้ใช้ให้ทูตสวรรค์ของเรา ไปเป็นพยานสำแดงเหตุการณ์เหล่านี้แก่ท่าน เพื่อคริสตจักรทั้งหลาย เราเป็นเชื้อสายของดาวิด และเป็นดาวประจำรุ่งอันสุกใส” 17 พระวิญญาณและเจ้าสาวตรัสว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่ได้ยินคำกล่าวว่า “เชิญมาเถิด” และให้ผู้ที่กระหายเข้ามา ผู้ใดมีใจปรารถนา ก็ให้ผู้นั้นมารับน้ำแห่งชีวิต โดยไม่ต้องเสียอะไรเลย มีอะไรที่ทำให้เรากำลังอยู่ในโลกที่หลอกลวง การหลอกตัวเอง ว่ามั่นคงดีแล้ว แต่ระวังเกรงว่าจะล้ม จงออกจากการโกหก การไม่เชื่อฟังความจริง คือการโกหกหลอกลวง ที่จะทำให้สุดท้ายต้องอยู่ภายนอกประตูที่มีต้นไม้แห่งชีวิตที่พระเจ้าทรงสงวนมิให้คนที่ไม่เชื่อฟังได้กิน และต้องอยู่ภายนอกร่วมกับคนที่มีจิตสำนึกเป็นทาสของมาร นรกไม่ได้ถูกสร้างไว้สำหรับมนุษย์ แต่สำหรับมาร และสมุนของมัน และคนที่เป็นทาสของมาร วิวรณ์ 21:8 8 แต่คนขลาด คนไม่เชื่อ คนที่น่าเกลียดน่าชัง คนที่ฆ่ามนุษย์ คนล่วงประเวณี คนใช้เวทมนตร์ คนไหว้รูปเคารพ และคนทั้งปวงที่พูดมุสานั้น มรดกของเขาอยู่ที่ในบึงไฟและกำมะถันที่กำลังไหม้อยู่นั้น นั่นคือความตายครั้งที่สอง”
“ชีวิตที่ปราศจากตำหนิ….เชื่อฟัง”
1.การเชื่อฟัง…ได้เสื้อแห่งความชอบธรรม
2.การไม่เชื่อฟัง…สูญเสียทุกอย่าง