“พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย”
เราคงเคยได้ยิน เรื่องการยกโทษให้อภัย มีทั้งง่าย และยาก บางคนก็ว่า ง่าย บางคนก็ว่ายาก ขึ้นอยู่กับว่า เรื่องที่ทำผิดนั้น น้อยหรือมาก เจ็บปวดมาก ลืมยาก ขนาดไหน บางทีเรื่องเดียวกัน บางคนให้อภัยได้ง่าย แต่บางคนให้อภัยได้ยาก เป็นเพราะอะไร บางคนก็ตอบว่า ขึ้นอยู่กับว่า แต่ละคนได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนั้น อย่างไร บางคนให้ความสำคัญ บางคนไม่ใส่ใจ
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย ในตอนนี้ ทำให้เราได้ยินสิ่งที่พระเยซูคริสต์ตรัส คือคำว่า ง่าย กับคำว่า ยาก ระหว่าง การสั่งคนง่อยให้ยกแคร่ที่คนง่อยใช้อาศัยนอนมาตลอดชีวิตของการเป็นง่อย กับการที่พระเยซูจะยกบาปของคนง่อย (ซึ่งพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ รับไม่ได้ กับคำๆนี้ที่พวกเขาเจาะจงว่า คนที่จะใช้คำนี้ได้ คือพระเจ้าเท่านั้น มนุษย์อย่างพระเยซูไม่มีสิทธิ์ที่จะใช้คำนี้
ลูกา 5:21 21 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาเป็นใครกัน? ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?”
(ฉบับแปล 1971) 22 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของเขา พระองค์จึงตรัสแก่เขาว่า “ไฉนท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้23 ที่จะว่า ‘บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว’ และจะว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ นั้น ข้างไหนจะง่ายกว่ากัน
พระเยซูทรงหมายความว่า การที่จะพูดคำว่า บาปทั้งปวงของเจ้าได้รับอภัยแล้ว นั้นยาก เหมือนอย่างที่พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์คิดนั้น ถูกต้องแล้ว และไม่มีมนุษย์คนไหนจะยกบาปทั้งหมดของมนุษย์ด้วยกันได้ …ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?” พระคัมภีร์บันทึกว่า พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์คิดในใจ คือไม่ได้พูด แต่พระเยซูทรงรู้ ความคิดนั้น พระองค์จึงตอบความคิดของพวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ว่า
ลูกา 5:22-23 22 แต่เมื่อพระเยซูทรงทราบความคิดของพวกเขา พระองค์จึงตรัสกับเขาว่า “ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดในใจอย่างนี้?23 การที่พูดว่า ‘บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว’ กับการพูดว่า ‘จงลุกขึ้นเดินไปเถิด’ แบบไหนจะง่ายกว่ากัน? 24แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้” (พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า) “เราสั่งเจ้าว่า จงลุกขึ้นยกที่นอนไปบ้านของเจ้าเถิด”
และนี่คือ พันธกิจการยกโทษให้อภัย ที่พระเยซูคริสต์ทรงสำแดงน้ำพระทัยพระเจ้า คือการยกโทษให้อภัย
สำหรับคนยิวในยุคโบราณนั้น มีสายตามองคนบาป คือ คนที่ทำผิดแตกต่างจากชาวบ้าน (เช่นคน คนเก็บภาษี คนทำตัวไม่ดี และ คนที่เกิดมาไม่เหมือนชาวบ้าน (โดยเฉพาะคนที่พิการ ไม่สมประกอบ หูหนวกตาบอด เป็นใบ้ เป็นง่อย ถูกผีสิง ป่วยด้วยโรครักษาไม่หาย เป็นโรคเรื้อน เป็นโรคที่สังคมรังเกียจ โรคที่นำการติดต่อไปยังคนอื่น ) คนเหล่านี้ กลายเป็นคนที่สังคมรังเกียจ และกล่าวโทษ ต้องกำจัดออกไปจากสังคม คนเหล่านี้ ต่างถูกทอดทิ้ง ดูถูกเหยียดหยาม และถูกเอาเปรียบ
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย ในตอนนี้ได้ให้บทเรียนบางประการกับเรา ระหว่าง เรื่องการยกโทษให้อภัย ของมนุษย์กับพระเจ้า
1.มนุษย์ทำบาปและไม่ยกโทษไม่ให้อภัยกัน
ลูกา 5:18-20 18 และนี่แน่ะ มีบางคนหามคนง่อยซึ่งนอนอยู่บนที่นอนมา พวกเขาพยายามหาทางหามคนง่อยเข้ามาวางตรงหน้าพระองค์19 แต่หาทางเข้ามาไม่ได้เพราะมีคนมาก เขาจึงขึ้นไปบนหลังคาตึก แล้วหย่อนคนง่อยพร้อมกับที่นอนลงมาตามช่องกระเบื้อง วางตรงหน้าพระเยซูท่ามกลางฝูงชน20 เมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นความเชื่อของพวกเขา พระองค์จึงตรัสว่า “เพื่อนเอ๋ย บาปต่างๆ ของท่านได้รับการยกโทษแล้ว”
เมื่อวันก่อน ข้าพเจ้าใช้ฆ้อนตอกตะปู แล้วปรากฏว่า ตีเอาถูกนิ้วโป้งอย่างจัง ทำให้นึกถึงคำเปรียบเทียบว่า คนเรา ทำตัวเองเจ็บก็จะให้อภัยตัวเองได้ง่าย และเราก็จะสนใจนิ้วที่เจ็บก่อน แต่ถ้าคนอื่นมาทำให้เจ็บ นอกจากเราจะสนใจความเจ็บของตัวเองแล้ว ก็ยากจะให้อภัยคนที่ทำให้เราเจ็บ ทำไมเราจึงคิดอย่างนั้น พระคัมภีร์ได้ยกตัวอย่างของการอยู่ร่วมกัน อย่างคริสตจักร เหมือนอวัยวะของร่างกาย ที่ประกอบกัน อวัยวะใดเจ็บ ทุกอวัยวะ ก็จะพะวงถึงอวัยวะนั้น อวัยวะใดไม่น่าดู ก็จะถูกทำให้น่าดู แปลว่า ไม่ถูกทอดทิ้ง
คนที่หามคนง่อยซึ่งอยู่บนที่นอนมา เป็นความน่ารัก ความน่าประทับใจของคนสี่คนนี้ ที่ไม่ได้ทอดทิ้ง คนง่อยไว้ที่บ้าน และเมื่อเขารู้ว่า คนง่อยนี้ มีโอกาสจะหายได้ เนื่องจากกิตติศัพท์ชื่อเสียงของพระเยซูเรื่องการรักษาได้ทุกโรค ทำให้พวกเขามีความเชื่อว่าคนง่อยคนนี้จะหายได้ ไม่มีใครคิดเรื่องความบาปของคนง่อยคนนี้ที่จะได้รับการยกโทษ และอาจไม่มีใครคิดว่า คนง่อยคนนี้จะไปทำบาปอะไรให้กับใครได้ วันๆนอนอยู่บนที่นอนอย่างเดียว อุปสรรคแรก ของคนง่อยคนนี้ ผ่านได้ โดยชายสี่คนช่วยหามเขามา แต่พอมาถึง กลับมีอุปสรรคคือฝูงชน ที่ต้องการรับบริการรักษาทุกโรคและอยากฟังพระเยซูสอน เยอะมาก จนไม่สามารถฝ่าฝูงชนไปได้ ชายสี่คน แก้ปัญหาต่อ มีทางขึ้นดาดฟ้า หลังคารื้อออกได้ มีเชือก มีแรงที่จะหย่อนคนง่อยคนนี้ลงไปหาพระเยซู เล็งให้ตรง แล้วก็ทำการรื้อหลังคาเลย เราได้เห็นในภาพยนต์ถึงหน้าตาของผู้คนที่อยู่ในสถานที่นี้ ต่างตกใจกับวิธีการของชายสี่คนนี้ และแน่นอนว่า เจ้าของสถานที่ก็คงไม่พอใจแน่ หลังคาบ้านถูกรื้อ ได้รับความเสียหาย นี่คือความเสี่ยงของชายสี่คน ที่จะต้องเผชิญ และพระเยซูทรงเรียกความเสี่ยงนี้ว่า ความเชื่อ ความพยายามของชายสี่คน ที่ทำกับคนง่อย(น่าจะเป็นเพื่อนของพวกเขา ทำให้พระเยซูทรงเรียกคนง่อยว่า เพื่อนเอ่ย (ฉบับแปล 2011) แต่ฉบับแปล 1971 แปลว่า บุรุษเอ่ย ในต้นฉบับคำกรีก ใช้คำว่า มนุษย์เอ๋ย หมายถึง มนุษย์ที่จำกัด และน่าสนใจว่า พระเยซูทรงใช้คำเดียวกันนี้ ในข้อ 24
24แต่เพื่อท่านทั้งหลายจะได้รู้ว่า บุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะโปรดยกความผิดบาปได้”
พระเยซูคริสต์ทรงใช้กับตัวของพระองค์เองว่า พระองค์มาเกิดเป็นบุตรมนุษย์ที่จำกัดเหมือนอย่างมนุษย์ทั่วไป แต่พระองค์ไม่จำกัดในการยกโทษให้อภัยความผิดบาปของมนุษย์
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย พระองค์เสด็จมาเพื่อจะช่วย….มนุษย์ที่ทำบาปและไม่ยกโทษไม่ให้อภัยกัน… ให้เปลี่ยนมาเป็นมนุษย์ที่หยุดทำบาป และให้อภัยกันได้(ง่าย เร็ว) และเราทุกคนต้องพึ่งพาพันธกิจของพระเยซูคริสต์ ที่จะทำให้เราทำได้ เราอาจจะเหมือนชายสี่คน ที่พยายามที่จะฝ่าอุปสรรคปัญหาต่างๆ เพื่อจะให้พระเยซูช่วยเรื่องความจำกัดของเรา ของคนในครอบครัว เพื่อน คนที่เรารัก แต่พระเยซูกลับมองเห็นความจำเป็น และสิ่งที่เรา และคนที่เรารักต้องการ คือการให้ยกโทษให้อภัย (จากพระเจ้า)
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเราความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าดี ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นก็จะดีตามกัน เป็นไปได้หรือไม่ว่า ที่เราไม่สามารถยกโทษให้อภัย(เคสที่ยากๆ) ได้ เพราะเราไม่รับรู้การยกโทษให้อภัยจากพระเจ้าจริงๆ (จริงจัง) เราจึงมีแต่คำว่า Forgive but not forget
เมื่อครั้งข้าพเจ้าไป เยือนพิพิธภัณฑ์ Holocaust ที่แปลว่า หายนะ ในอิสราเอล มีประโยคที่ใส่ไว้ที่ผนังนี้คือคำว่า Forgive but not forget แปลว่า ให้อภัย แต่ไม่ลืม ข้าพเจ้าอ่านแล้ว มีคำถามว่า จริงหรือ? เป็นภาพของความทรงจำที่เจ็บปวด ของชนชาติยิวที่ถูกทหารเยอรมันสมัยฮิตเล่อร์เข่นฆ่าล้างเผ่าพันธ์ชนิดร้ายแรงในประวัติศาสตร์โลก ไม่ต่ำกว่าสิบล้านคน ด้วยวิธีที่ทำราวกับคนยิวเวลานั้นไม่ใช่คน
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ไม่เจอกับตัวเองจะไม่รู้ว่า มันหนักหนาสาหัส ที่ยากจะให้อภัยได้ คำนี้ ถ้าพระเจ้านำมาใช้กับมนุษย์ เราคงไม่ได้รับการยกโทษให้อภัยจากพระเจ้าแน่นอน นั่นคือเรากำลังเอาความเป็น มนุษย์ที่ทำบาป และไม่ให้อภัยกัน มาตัดสินพระเจ้า อย่างที่พวกฟาริสี กับพวกธรรมาจารย์คิดในใจเมื่อพระเยซูคริสต์ทรงตรัสกับคนง่อย
ลูกา 5:21 21 พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสีจึงคิดในใจว่า “คนนี้พูดหมิ่นประมาทพระเจ้า เขาเป็นใครกัน? ใครจะอภัยบาปได้นอกจากพระเจ้าเท่านั้น?”
วิธีคิดของพวกฟาริสีกับพวกธรรมาจารย์ ในฐานะของผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติข้อห้ามต่างๆ (หากละเมิด คือทำบาป ) คนพวกนี้ รู้แต่ช้อห้ามทำบาป และความจำกัดของมนุษย์ แต่ไม่รู้จักพระเจ้าในอีกมุมหนึ่ง นั่นคือ …..
2.พระเจ้าไม่อะลุ้มอะล่วยกับบาป แต่พระองค์ยกโทษให้อภัย
ลูกา 5:24-26 24 แต่ทั้งนี้เพื่อให้พวกท่านรู้ว่าบุตรมนุษย์มีสิทธิอำนาจในโลกที่จะยกโทษบาปได้” พระองค์จึงตรัสสั่งคนง่อยว่า “เราสั่งท่านว่าจงลุกขึ้นยกที่นอนแล้วกลับไปที่บ้านของท่าน”25 ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นต่อหน้าทุกคน ยกที่นอนแล้วกลับบ้าน พร้อมกับถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า26 ทุกคนก็อัศจรรย์ใจและได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและพูดกันว่า “วันนี้เราได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ”
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย คือสิทธิอำนาจในสวรรค์ก็ดี บนแผ่นดินโลกก็ดีที่พระเยซูได้รับมาเพื่อจะยกโทษให้อภัย และส่งต่อสิทธิอำนาจนี้ให้กับคริสตจักร คือผู้เชื่อในพระองค์ทุกคน
วันนี้ คุณได้ใช้สิทธิอำนาจนี้ แล้ว แต่ได้ใช้สิทธิอำนาจนี้เพื่อการให้อภัย?
ตอนนี้ รัฐบาลให้สิทธิ์ แก่คนไทย คนละครึ่ง ที่กำลังโดนๆใจคนมากมายที่สุด คือ เราจ่ายครึ่ง รัฐจ่ายครึ่ง เรารู้หรือไม่ว่า พระเยซูคริสต์ได้ให้สิทธิ์กับการเป็นคริสเตียนของเรา ระดับไหน
มัทธิว 28:18-20 18 พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับเขาว่า “ฤทธานุภาพทั้งสิ้นในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค”
เรามักจะมองข้อพระคัมภีร์ตอนนี้ เป็นเพียงพระมหาบัญชา แต่หากพิจารณาดีๆ นี่คือสิทธิ์ที่พระเยซูคริสต์ได้ให้เรามีส่วนร่วมด้วย คำว่า เราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค และยุคของเรานี่แหล่ะ ถูกเรียกว่า ใกล้สิ้นยุคที่สุด พระเยซูยังคงอยู่กับเรา ทรงละสภาพบุตรมนุษย์ที่จำกัด (บนไม้กางเขน) และทรงสภาพ บุตรพระเจ้าที่ไม่จำกัด และยังทรงอยู่กับมนุษย์ที่จำกัด คือคริสเตียน ที่เป็นสาวกของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า พระองค์ได้มอบกุญแจแห่งแผ่นดินสวรรค์แก่คริสตจักร….
มัทธิว 16:19 19 เราจะมอบลูกกุญแจแผ่นดินสวรรค์ให้ไว้แก่ท่าน ท่านจะกล่าวห้ามสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นก็จะถูกกล่าวห้ามในสวรรค์ เมื่อท่านจะกล่าวอนุญาตสิ่งใดในโลก สิ่งนั้นจะกล่าวอนุญาตในสวรรค์ด้วย”
พระเจ้าไม่อะลุ้มอะล่วยกับบาป แต่พระองค์ยกโทษให้อภัย …. ทรงให้คริสตจักรทำบทบาทนี้สำแดงเรื่องการไม่อะลุ้มอะล่วยกับบาป แต่ยกโทษให้อภัย เป็นรูปธรรม เกลียดบาป แต่รักคนบาป
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย เพื่อให้เราไม่กลับไปทำบาป แต่ยกโทษให้อภัยกันและกันได้ง่าย และเร็วขึ้น และนี่คือพระลักษณะหนึ่งที่ทำไม เราจึงนมัสการสรรเสริญพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงทำเรื่องยากให้ง่าย และเรื่องที่ทำให้มนุษย์ทำบาปยากขึ้น และให้ภัยกันและกันได้ง่าย เร็ว อาเมน (ให้เราถามตัวเองว่า เรารับรู้การให้อภัยของพระเจ้าอย่างจริงจัง ด้วยการยกโทษให้อภัยคนอื่นอย่างไร?)
พระเยซูคริสต์…พันธกิจยกโทษให้อภัย
1.มนุษย์ทำบาป และไม่ให้อภัยกัน
2.พระเจ้าไม่อะลุ้มอะล่วยกับบาป แต่ยกโทษให้อภัย