“ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก”
ยอห์น 2:1-12
เดือนกุมภาพันธ์ เป็นเดือนที่คนไม่น้อยคิดถึงวันวาเลนไทน์ แม้จะมีโควิด19 จะทำให้โอกาสในทางธุรกิจต่างๆหยุดลง แต่ก็ยังเป็นโอกาสของธุรกิจบางประเภทที่ยังคงใช้วันวาเลนไทน์เพื่อจะดึงดูดให้ลูกค้ามาใช้บริการ ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร โรงแรม ของขวัญ ของฝาก มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ทุกๆคนต้องการความรัก หรือโหยหาความรัก ในรูปแบบต่างๆ จากการวิเคราะห์ หรือรู้ความต้องการของคน วันแห่งความรัก วันวาเลนไทน์ถูกนำไปใช้เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ต่างๆนานา ทั้งในทางบวก หรือทางลบ โดยเฉพาะวัยรุ่น ที่เริ่มต้นเรียนรู้จักเรื่องความรัก ที่เรียกว่า ป๊อปปี้เลิฟ รักครั้งแรก เป็นรักแรกพบ และสาเหตุที่ทำไมเรียกว่า ป๊อปปี้เลิฟ หรือปั๊มปี้เลิฟ มาจากคำภาษาอังกฤษ
Puppy Love เขาแปลว่า”รักแบบลูกหมา”
เป็นความรักแรกพบแบบคนเห่อลูกสุนัข เพราะสุนัขนั้นตอนเล็กๆมันน่ารัก
ว่ากันว่า ไม่ว่าหมาพันธุ์อะไรก็บ๊องแบ๊วทุกรายจนเจ้าของหลงนักหลงหนา
เอาใจใส่ดูแลแทบไม่คลาดสายตา แต่พอมันโตขึ้น เริ่มไม่น่ารักเหมือนเดิม
Puppy Love จึงบอกนัยยะว่า เป็น”รักแบบปุ๊บปั๊บและวูบวาบ”
Puppy Love มักจะถูกนำมาใช้กับ”รักแรกพบ”
และนิยมใช้ใน”รักวัยรุ่น” เพราะเป็นวัยที่ไม่ได้จริงจังอะไรกับความรัก
เวลารักแล้วก็รู้สึกรักมากเหลือเกิน แต่ผ่านไปก็จะ”หมดรัก”โดยไม่รู้สาเหตุ
สำหรับฝรั่ง Puppy Love ที่เขามักจะพูดถึงคือ”โรเมโอ-จูเลียต”
พวกขาบอกว่านี่แหละคือ”รักแรกพบ”ที่แท้จริง
และเป็นความเก่งของวิลเลียม เชคสเปียร์ส ที่ให้ทั้งคู่”ตายพร้อมกัน”
เพราะตอบไม่ได้ว่าหากโตขึ้น ทั้งสองคนจะยังรักกันเหมือนเดิมหรือไม่?
เกริ่นมาซะยาว เพื่อจะนำเราเข้าสู่บทเรียนจากพระคัมภีร์ ในหัวข้อชื่อว่า “ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก” จากพระคัมภีร์ยอห์น ในเหตุการณ์หนึ่งที่ยอห์นบันทึกว่า คืองานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานา ในงานเลี้ยงแต่งงาน ทีที่มีความรัก ที่มีการเลี้ยงอาหาร และทุกคนที่ไปในงานเลี้ยงนี้ต่างกำลังมีความสุขกับการกินและดื่ม คู่บ่าวสาว ก็มีความสุข กับการได้สมรัก สมรส แต่ดูเหมือนว่า จะมีสิ่งที่ทำให้ความสุขสะดุด นั่นก็คือ เครื่องดื่มสำคัญของงาน ได้แก่ เหล้าองุ่น ที่เป็นเครื่องดื่มตัวเอก สำหรับคนในดินแดนตะวันออกกลาง ที่เป็นทะเลทราย ซึ่งนอกจากน้ำจะเป็นสิ่งหายากแล้ว น้ำองุ่นหมัก ที่เราเรียกว่า เหล้าองุ่น ยิ่งเป็นของหายาก และมีความสำคัญต่องานเลี้ยงเสมอ และอาจทำให้เจ้าภาพต้องเสียหน้าได้ หากอาหารและเครื่องดื่มไม่เพียงพอ และในงานเลี้ยงมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานาครั้งนั้น อาจจะเพราะด้วยฐานะของคู่สมรสไม่ได้ร่ำรวยพอที่จะจัดเหล้าองุ่น ได้เพียงพอสำหรับแขกที่อาจจะมามากเกินกว่าที่คาดไว้ ทำให้เกิดปัญหานอกจากจะไม่พอแล้ว (หมด) ยังไม่สามารถหาได้ทันการ และนี่เป็นที่มาของบทสนทนาที่นางมารีย์ แม่ของพระเยซู ได้มากระซิบกับพระองค์ว่า ….
ยอห์น 2:3 3 เมื่อเหล้าองุ่นหมดแล้ว มารดาของพระเยซูพูดกับพระองค์ว่า “เขาไม่มีเหล้าองุ่น”4 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ไม่ใช่ธุระของท่าน เวลาของเรายังมาไม่ถึง” (ฉบับแปล 2011)
ยอห์น 2:4 พระเยซูตรัสกับนางว่า “หญิงเอ๋ย ให้เป็นธุระของข้าพเจ้าเถิด เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง” (ฉบับแปล 1971)
ยอห์น2:4 4 Jesus saith unto her, Woman, what have I to do with thee? mine hour is not yet come. (คิงส์เจมส์) แปลว่า หญิงเอ๋ย จะให้ฉันช่วยอะไร…. เวลาของฉันยังมาไม่ถึง…
คำว่า หญิงเอ๋ย รากศัพท์กรีกแปลว่า ผู้หญิง (โดยเฉพาะใช้เรียก ภรรยา) คริสเตียนที่เป็นคู่แต่งงาน มักจะเรียกภรรยาของตนเองว่า ที่รัก และพระคริสต์ทรงใช้คำฮีบรูคำนี้ เรียกแม่ของพระองค์ สังเกตว่า ในวีดีโอประกอบคำเทศนา พากย์ไทย ได้ใช้คำที่พระเยซูเรียกว่า ที่รัก (บางท่านอาจจฟังไม่ทัน ไปรีเทปดูใหม่อีกที) นั่นคือคำแปลที่ถูกต้อง ตามต้นฉบับ พระเยซูทรงเรียกแม่คือนางมารีย์ที่พระองค์อาศัยท้องมากำเนิดโดยเดชของพระวิญญาณบริสุทธ์ ก่อนที่นางมารีย์จะแต่งงานกับโยเซฟ คู่หมั้นของนาง พระเยซูทรงเรียกนางมารีย์ว่าที่รัก คอมเมนทารี่บางฉบับอธิบายว่า เป็นคำกรีกที่แสดงการให้เกียรติอย่างสูงสูดแก่ผู้ที่ถูกเรียกว่าที่รัก และแน่นอนว่า พระเยซูทรงรักนางมารีย์ในฐานะผู้คลอดพระองค์ออกมา ยอห์นผู้บันทึกตอนนี้ ได้บันทึกตอนสุดท้ายถึงการเรียกนางมารีย์ขณะที่พระองค์อยู่บนไม้กางเขนอีกครั้ง
ยอห์น 19:26-27 26 เมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้พระองค์ จึงตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน”27 แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” แล้วสาวกคนนั้นก็รับมารดาของพระองค์มาอยู่ในบ้านของตนตั้งแต่เวลานั้น
พระเยซูทรงใช้คำเรียกอย่างเดียวกัน คำว่า หญิงเอ๋ย พระองค์พูดกับนางมารีย์ ให้รับยอห์นไว้เป็นบุตรของนาง และให้ยอห์นเรียกนางว่า แม่ คือการสั่งเสีย มอบหมายให้ยอห์นดูแลนางมารีย์แทนพระองค์ การเรียกนางมารีย์เป็นที่รักของพระเยซูคริสต์ จึงมีนัยยะสำคัญ และนางมารีย์ผู้เป็นแม่เองก็รู้ว่า คือความพิเศษของพระเยซูคริสต์ที่ทรงมีต่อนาง นั่นคือ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้า จากที่นางเคยถูกเรียกจากทูตสวรรค์กาเบรียลที่มาส่งข่าวกับนางว่า นางจะตั้งครรภ์พระเยซูคริสต์โดยไม่ได้สมสู่กับชายใด นั่นคือการอัศจรรย์ที่พระเจ้าทรงเสด็จมาเกิดผ่านนาง และแน่นอนว่า การอัศจรรย์ต่างๆขณะพระเยซูคริสต์ทรงเติบโตในครอบครัวของนางมารีย์และโยเซฟ ก็เกิดอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นที่มาของความเชื่อ ความไว้วางใจในการแก้ปัญหาเรื่องเหล้าองุ่นหมด ในงานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานา
แต่น่าสังเกตว่า ดูเหมือน พระเยซูจะปฏิเสธ นางมารีย์ ด้วยคำว่า …เวลาของข้าพเจ้ายังมาไม่ถึง…. แปลว่า ยังไม่ถึงเวลาเปิดตัว ว่าพระองค์คือใคร มีตอนหนึ่งที่บันทึกคำว่า ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์….
ยอห์น 7:3-6 3 พวกน้องๆ ของพระองค์จึงทูลพระองค์ว่า “ท่านจงออกจากที่นี่ไปยังแคว้นยูเดีย เพื่อให้เหล่าสาวกของท่านได้เห็นกิจการที่ท่านกำลังกระทำอยู่4 เพราะว่าไม่มีผู้ใดแอบทำสิ่งใดเงียบๆ เมื่อผู้นั้นอยากให้ตัวปรากฏ ถ้าท่านกระทำการเหล่านี้ ก็จงสำแดงตัวให้ปรากฏแก่โลกเถิด”5 แม้พวกน้องๆ ของพระองค์ก็มิได้วางใจในพระองค์6 พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า “ยังไม่ถึงเวลาของเรา แต่เวลาของพวกท่านมีอยู่เสมอ
น้องของพระเยซูที่เกิดจากนางมารีย์ภายหลังที่ได้อยู่กับโยเซฟเป็นสามีภรรยากันแล้ว น้องๆเหล่านี้น่าจะได้เห็นการอัศจรรย์ต่างๆมาตลอดการเติบโตกับพระเยซู และอยากให้พระเยซูเปิดตัว แก่โลก ยอห์นบันทึกว่า น้องๆของพระเยซูไม่ได้ไว้วางใจในพระองค์ ซึ่งแตกต่างจากนางมารีย์ที่แม้จะได้รับการปฏิเสธจากพระเยซูด้วยคำเดียวกันว่า ยังไม่ถึงเวลาของพระองค์ แต่นางมารีย์กลับทำสิ่งหนึ่งคือ
ยอห์น 2:5 5 มารดาของพระองค์จึงบอกพวกคนใช้ว่า “จงกระทำตามที่ท่านสั่งเจ้าเถิด”
ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก คือความแน่ใจ มั่นใจในความรักที่พระเยซูคริสต์ทรงมีให้ เป็นความเชื่อ ไว้วางใจชนิดส่งต่อให้กับคนอื่นได้ คำที่นางมารีย์ส่งต่อให้กับคนใช้ เป็นคำที่หนักแน่น ไว้ใจ และแสดงถึงเครดิตความน่าเชื่อถือว่า พระเยซูแก้ปัญหานี้ได้แน่นอน
นี่คือความเชื่อ ครั้งแรกที่ได้ถูกบันทึกโดยยอห์นครั้งแรก และหลายๆครั้งในพระกิตติคุณสี่เล่ม เมื่อเกิดการอัศจรรย์ พระเยซูมักจะใช้คำว่า ความเชื่อของคนที่หายป่วย คนที่ได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการ เกิดจากความเชื่อของคนเหล่านั้นที่มีต่อพระองค์ เป็นความเชื่อที่พวกเขาได้เป็นเจ้าของครอบครอง และส่งต่อให้กับคนอื่นๆ ความเชื่อนี้ เราได้เห็นครั้งแรกเกิดขึ้นจากการตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก
การอัศจรรย์เปลี่ยนน้ำธรรมดาให้กลายเป็นเหล้าองุ่นชั้นเลิศ เกิดขึ้นในที่ที่มีความรัก มีความสุข ของผู้คน เพื่อแก้ปัญหาการสะดุดของความสุข เกิดจากความเชื่อความไว้วางใจของนางมารีย์ที่มีต่อพระเยซูคริสต์
วันนี้ เรากำลังเผชิญกับอะไรที่จะก่อให้เกิดการสะดุดของความสุข ความรัก ที่เรากำลังวิตกกังวลอยู่หรือไม่ เรากำลังแก้ปัญหาความวิตกกังวลเหล่านั้นด้วยวิธีการอย่างไร ให้เรารับบทเรียนจากการอัศจรรย์ที่หมู่บ้านคานา
ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก จากการอัศจรรย์ครั้งแรกในงานมงคลสมรสที่หมู่บ้านคานา งานแห่งความรัก งานแห่งความสุข สิ่งที่นำความสุขกลับมาให้กับงานนี้ ด้วยสิ่งที่ธรรมดา และดูด้อยต่ำต้อยที่สุด โดยพระเยซูคริสต์
ยอห์น 2:6-8 6 มีโอ่งหินตั้งอยู่ที่นั่นหกใบตามธรรมเนียมการชำระของพวกยิว จุน้ำโอ่งละสี่ห้าถัง7 พระเยซูตรัสสั่งเขาว่า “จงตักน้ำใส่โอ่งให้เต็มเถิด” และเขาก็ตักน้ำเต็มโอ่งเสมอปาก8 แล้วพระองค์ตรัสสั่งเขาว่า “จงตักเอาไปให้เจ้าภาพเถิด” เขาก็เอาไปให้
โอ่งที่ใช้ในพิธีล้างเท้าหกโอ่ง สำหรับธรรมเนียมชำระ ก็คือ ใช้ล้างมือล้างเท้า แขกเหรื่อที่มางาน ทั้งหกโอ่งมีน้ำไม่เต็มแสดงถึงการใช้งานออกไปเรียบร้อยแล้ว แสดงว่า แขกมางานมีจำนวนมาก แต่ละโอ่งจุน้ำได้ร้อยลิตร มีหกโอ่ง ก็หกร้อยลิตร คำสั่งของพระเยซูคือ ให้ตักน้ำเต็มทุกโอ่ง คือได้น้ำหกร้อยลิตร คำสั่งต่อไป ตักน้ำที่อยู่ในโอ่งเหล่านี้ ไปเสริฟให้เจ้าภาพ ในที่นี้ หมายถึง คนที่เป็นคนสำคัญของงาน ซึ่งมักจะนั่งที่หัวโต๊ะ รากศัพท์กรีกแปลว่า ผู้สร้างบรรยากาศให้งานเลี้ยง มีเกียรติ มีสีสัน ภาษาบ้านเรา เรียกว่า ประธานของงานเลี้ยง
น่าสังเกตว่า เครดิตความน่าไว้วางใจของพระเยซูคริสต์ที่นางมารีย์ให้กับคนใช้ ในการเชื่อฟังและทำตามการแก้ปัญหาของพระเยซูคริสต์ มีมากขนาดที่คนใช้ไม่ปฏิเสธคำสั่งของพระเยซูคริสต์ในขั้นตอนสำคัญ ที่ให้เอาน้ำล้างมือล้างเท้าไปเสริฟให้แขกสำคัญคนแรก แต่วีดีโอที่เรารับชม เขาสร้างให้เราได้เห็นว่า คนใช้ ได้ทำการทดสอบก่อน ด้วยการมองเห็นการเปลี่ยนแปลง ของสีน้ำ ในแก้วที่เทออกเพื่อจะเสริฟ และดมกลิ่นก่อน นี่คือความฉลาดของคนใช้ ในการเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูคริสต์ เขาดูและดมกลิ่น จนแน่ใจว่า คือเหล้าองุ่น แต่ไม่ได้ชิม จึงนำไปเสริฟ
ยอห์น2:9 9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน (แต่คนใช้ที่ตักน้ำนั้นรู้) เจ้าภาพจึงเรียกเจ้าบ่าวมา
คนที่ได้ชิมคนแรก คือเจ้าภาพ คำว่า 9 เมื่อเจ้าภาพชิมน้ำที่กลายเป็นเหล้าองุ่นแล้ว และไม่รู้ว่ามาจากไหน คือการย้ำว่า เจ้าภาพรู้สถานการณ์ว่า เกิดปัญหา เหล้าองุ่นหมด และไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร
ยอห์น2:10 10 และพูดกับเขาว่า “ใครๆ เขาก็เอาเหล้าองุ่นอย่างดีมาให้ก่อน เมื่อได้ดื่มกันมากแล้วจึงเอาที่ไม่สู้ดีมา แต่ท่านเก็บเหล้าองุ่นอย่างดีไว้จนถึงบัดนี้”
นี่คือคำสารภาพของเจ้าภาพว่า เขารู้ปัญหาของงานเลี้ยงนี้ และมีประสบการณ์การกับงานเลี้ยงมามากมายว่า มักจะมีเทคนิคใช้ของดีมีคุณภาพก่อนตามด้วยของไม่มีคุณภาพ ซึ่งก็เหมือนๆกับที่เขาไปงานเลี้ยงอื่นๆมา ไม่มีความจริงใจ ไม่ได้ต้องการสร้างความสุข ในบรรยากาศแห่งความรักอย่างแท้จริง แรกๆก็ดูเป็นของจริง สุดท้ายก็มักจะปิดด้วย ของไม่ดี ให้คนเมาๆจนไม่รู้ตัวแล้วก็ให้ของไม่ดี ให้คนกิน เหมือนปั๊ปปี้เลิฟ รักแบบลูกหมา รักแรกพบ สุดท้ายก็จบลงด้วยความไม่ดี ที่แสดงออกมา ต่อกัน
ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก แม้ดูเหมือนปฏิเสธก็ยังไว้วางใจ และความไว้วางใจนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ในเหตุการณ์นี้ ทำให้เกิดความไว้วางใจเกิดขึ้นในสาวกที่ติดตามพระเยซู
ยอห์น 2:11-12 11 หมายสำคัญครั้งแรกนี้พระเยซูทรงทำที่หมู่บ้านคานาในแคว้นกาลิลี และทรงแสดงพระสิริของพระองค์ พวกสาวกของพระองค์ก็วางใจพระองค์ 12 ภายหลังเหตุการณ์นี้ พระองค์เสด็จต่อไปยังเมืองคาเปอรนาอุม พร้อมกับมารดาและบรรดาน้องชายและพวกสาวกของพระองค์ และพักอยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่วัน
ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก นอกจากจะไว้วางใจพระองค์แล้ว ยังทำให้คนรอบข้างไว้วางใจพระเยซูคริสต์ตามไปด้วย
บทเรียนที่เราได้เรียนรู้คือ แม้ยังไม่ถึงเวลากำหนดของพระเจ้า แต่พระองค์ทรงเปลี่ยนพระทัยได้ จากความเชื่อในคนที่ไว้วางใจในพระองค์ และนี่คือพลังของการอธิษฐานของคริสตชน เปลี่ยนร้ายให้กลายเป็นดีได้ โดยการเปลี่ยนน้ำพระทัยพระเจ้า
ทุกวันนี้ ผู้คนกำลังเต็มไปด้วยความหวาดระแวงต่อกันและกัน ด้วยคำว่า หมด หมดความอดทน หมดความรัก ความสุขหมด โปรโมชั่นหมด หมดเครดิตความน่าเชื่อถือ ใครจะเป็นคนนำการเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกเหล่านี้ เปลี่ยนจากลบให้กลายเป็นบวกได้อย่างไร คำตอบคือ เราทุกคนที่จะตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก ส่งต่อความไว้วางใจในพระองค์ ไปให้กับผู้อื่น
ตามพระเยซูคริสต์…ในที่ที่มีความรัก