“ปราศจากที่ติ…ด้วยชีวิตใหม่สามมิติ”
เมื่อก่อนที่เราจะมาเป็นคริสเตียน เรามีศาสนาอื่นที่กำหนดให้เราต้องทำอย่างโน้นอย่างนี้เพื่อจะได้บุญ ได้กุศล ได้รับการช่วยเหลือ หรือเพื่อจะไม่เจอกับเคราะห์ร้ายกรรมซ้ำ หรือเพื่อจะหนีจากสิ่งที่เรียกว่าซวย เพื่อให้ได้ชีวิตที่โชคดี ร่ำรวย คุณน้าของข้าพเจ้าใช้สำนวนว่า ห่อมาตลอดชีวิต ข้าพเจ้าตีความหมายแปลว่า ประคองชีวิตด้วยพิธีกรรมต่างๆทางศาสนามาตลอดชีวิต วันนี้มาเชื่อพระเยซู ได้ปล่อยห่อที่ถือประคองมาตลอดออกไปจากชีวิตแล้ว ชีวิตไม่ต้องตกอยู่ภายใต้ความกลัวใดๆอีก เมื่อเรามาเป็นคริสเตียน เราได้หลุดพ้นจากอิทธิพลอำนาจของความมืดต่างๆ เราได้หลุดจากสิ่งที่ผูกมัดชีวิตของเรา คำสอนคำขู่ต่างๆที่ตกทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ถูกทำลายไป สำนวนในพระคัมภีร์ใช้คำว่า โคโลสี2:14-15 14 พระองค์ทรงฉีกกรมธรรม์ซึ่งได้ผูกมัดเราด้วยบัญญัติต่างๆ ซึ่งขัดขวางเรา และได้ทรงหยิบเอาไปเสียให้พ้นโดยทรงตรึงไว้ที่กางเขน15 พระองค์ทรงปลดเทพผู้ครองและศักดิเทพเสีย พระองค์ได้ทรงประจานเขา และชนะเขาโดยกางเขนนั้น และพระเยซูได้ทรงชนะแล้วในการฟื้นขึ้นมาจากความตายของพระองค์ ชีวิตคริสเตียนของเราทุกคนจึงเป็นชีวิตที่ไม่ได้ดำเนินไปด้วยความกลัว หรืออย่างไร้จุดมุ่งหมาย หรืออย่างคนที่ตกอยู่ภายใต้ชะตากรรมใดๆอีก แต่เรามีจุดมุ่งหมายชัดเจนตามที่พระเจ้าได้ทรงให้ชีวิตใหม่แก่เรา เป็นชีวิตที่มีมิติต่างๆทั้งกว้าง ยาว ลึก กลายเป็นชีวิตใหม่ที่มีมิติมากกว่าหนึ่ง คือการมีชีวิตอยู่ไม่ได้อยู่เพื่อตัวเอง แต่อยู่เพื่อพระเจ้าและอยู่เพื่อคนอื่น พระเยซูคริสต์จึงสรุปธรรมบัญญัติทั้งหมดของศาสนายิวออกมาได้สองข้อใหญ่ มาระโก 12:29-31 29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “ธรรมบัญญัติเอกนั้นคือว่า โอ ชนอิสราเอลจงฟังเถิด พระเจ้าของเราทั้งหลายทรงเป็นพระเจ้าเดียว 30 และพวกท่านจงรักพระเจ้าด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน ด้วยสุดความคิดและด้วยสิ้นสุดกำลังของท่าน31 และธรรมบัญญัติที่สองนั้นคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ธรรมบัญญัติอื่นที่ใหญ่กว่าธรรมบัญญัติทั้งสองนี้ไม่มี”นี่คือชีวิตใหม่ที่มีสามมิติของคริสเตียนทุกคน ความหมายของคำว่าสามมิติ หรือ สามดี คือทำให้เรามองเห็นภาพมีความกว้าง ยาว ลึกหรือหนา ตามสภาพความเป็นจริง ทำให้มองเห็นความเคลื่อนไหวของความมีชีวิต ดังนั้น ชีวิตคริสเตียนที่จะสำแดงชีวิตใหม่ที่จะทำให้มองเห็นความมีชีวิตใหม่ เป็นสามมิติได้นั้นต้องมีการเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่การเปลี่ยนแค่ศาสนา แต่คือการมีชีวิตใหม่สามมิติจริงๆ คือชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตยังไง อยู่กับปัจจุบันอย่างไร และมีอนาคตไกลขนาดไหน นั่นคือ การปราศจากที่ติ…ด้วยชีวิตใหม่สามมิติ ที่คนจะสัมผัสได้ มองเห็นได้ทั้งสามด้าน ได้แก่
1. มิติอดีต….การจัดการกับชีวิตเก่า โรม 12:1-2
1 พี่น้องทั้งหลาย ด้วยเหตุนี้โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า ข้าพเจ้าจึงวิงวอนท่านทั้งหลายให้ถวายตัวของท่านแด่พระองค์ เพื่อเป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ซึ่งเป็นการนมัสการโดยวิญญาณจิตของท่านทั้งหลาย2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เพื่อท่านจะได้ทราบน้ำพระทัยของพระเจ้า จะได้รู้ว่าอะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัยและอะไรดียอดเยี่ยม มีคนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เขาอยู่ในเวลาอุบัติเหตุร่วมกับเพื่อนที่นั่งรถยนต์ไปด้วยกัน เกิดประสานงานกับรถบรรทุก เพื่อนข้างตัวขาดครึ่งท่อน และในวินาทีที่ยังสามารถพูดอะไรได้ เขาได้พูดคำว่า กูยังไม่อยากตาย คนฟังคิดในใจว่า ขนาดนี้มึงยังคิดว่ามึงจะรอดอีกเหรอ แล้วก็ได้เห็นว่าเขาตายในสภาพที่ไม่รอดแต่ยังมีความคิดว่าไม่อยากตาย ทำไมเขายังไม่อยากตาย เราไม่รู้ แต่รู้แน่ๆว่า เขาไม่พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับความตาย พระคัมภีร์ตอนนี้ได้มีประโยคหนึ่งที่สำคัญสำหรับการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับทุกสถานการณ์ แม้กระทั่งความตาย นั่นก็คือ เป็นเครื่องบูชาที่มีชีวิตอันบริสุทธิ์และเป็นที่พอพระทัยพระเจ้า เรารู้ว่าไม่มีอะไรน่ากลัวเท่ากับการที่เราต้องเผชิญหน้ากับพระเจ้าในสภาพที่เราไม่เป็นที่พอพระทัย พระธรรมวิวรณ์ได้กล่าวถึงวาระสุดท้ายของคนที่ไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าดังนี้ วิวรณ์ 14:9-12 9 และทูตสวรรค์อีกองค์หนึ่งเป็นองค์ที่สามตามไป ประกาศด้วยเสียงอันดังว่า “ถ้าผู้ใดบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และมีเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือ10 ผู้นั้นจักต้องดื่มเหล้าองุ่นแห่งพระพิโรธของพระเจ้า ซึ่งไม่ได้ระคนกับสิ่งใด ที่ได้เทลงในถ้วยพระพิโรธของพระองค์ และเขาจะต้องถูกทรมานด้วยไฟและกำมะถัน ต่อหน้าทูตสวรรค์ผู้บริสุทธิ์ทั้งหลายและต่อพระพักตร์พระเมษโปดก11 และควันแห่งการทรมานของเขาพลุ่งขึ้นตลอดไปเป็นนิตย์ และคนทั้งหลายที่บูชาสัตว์ร้ายและรูปของมัน และที่รับเครื่องหมายชื่อของมัน จะไม่มีการพักผ่อนเลยทั้งกลางวันและกลางคืน” 12 นี่แหละความอดทนซึ่งพวกธรรมิกชนคือผู้ที่ประพฤติตามพระบัญญัติของพระเจ้า และดำเนินตามความเชื่อของพระเยซูจะต้องมี การบูชาสัตว์ร้ายและรูปของมันและมีเครื่องหมายของมันไว้ที่หน้าผากหรือที่มือจะเกิดขึ้นผ่านการวิถีการดำเนินชีวิต การกิน การอยู่ การใช้ชีวิตของคนทุกระดับทุกชนชั้น วิวรณ์ 13:16-18 16 และมันยังได้บังคับคนทั้งปวง ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อย คนมั่งมี และคนจน ไทและทาสให้รับเครื่องหมาย ไว้ที่มือขวาหรือที่หน้าผากของเขา17 เพื่อไม่ให้ผู้ใดทำการซื้อขายได้ นอกจากผู้ที่มีเครื่องหมายนั้น ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ร้ายนั้น หรือเลขชื่อของมัน18 ในเรื่องนี้จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เพราะว่าเป็นเลขของบุคคลผู้หนึ่ง เลขของมันคือหกร้อยหกสิบหก ขณะที่ธรรมิกชนคนของพระเจ้ายังต้องอาศัยอยู่ในโลกนี้อย่างไม่เป็นของโลก และอย่างคนที่นมัสการพระเจ้า เลิกบูชาสัตว์ร้ายที่เรียกว่า ผู้ต่อต้านพระคริสต์ พระคัมภีร์ได้เตือนว่า จงใช้สติปัญญาให้ดี ถ้าผู้ใดมีความเข้าใจก็ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้ายนั้น เรารู้ว่า เลขเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด เป็นเลขของพระเจ้า แปลว่าความสมบูรณ์ครบถ้วน คำว่า ให้คิดตรึกตรองเลขของสัตว์ร้าย รากศัพท์แปลว่า ให้นับจำนวนเลขนั้น ข้าพเจ้าตีความ คือความไม่สมบูรณ์ ความไม่ครบถ้วน ซึ่งตรงกันข้ามกับเจ็ดร้อยเจ็ดสิบเจ็ด คือความสมบูรณ์ นั่นหมายถึงวิถีการดำเนินชีวิตตามอย่างโลก ตรงกันข้ามกับวิถีการดำเนินชีวิตตามน้ำพระทัยพระเจ้า ที่มีความสมบูรณ์ครบถ้วน ดังนั้นหนังสือโรมบทที่ 12ได้กล่าวเกี่ยวกับมิติการดำเนินชีวิตของผู้ที่นมัสการพระเจ้า จะใช้ชีวิตที่ 2 อย่าประพฤติตามอย่างคนในยุคนี้ แต่จงรับการเปลี่ยนแปลงจิตใจ แล้วอุปนิสัยของท่านจึงจะเปลี่ยนใหม่ เราจะเปลี่ยนใหม่ เราต้องเลิก ต้องหยุด ต้องทิ้งชีวิตเก่า ต้องอยู่ตรงกันข้ามกับเครื่องหมายของมาร คือดูเหมือนสมบูรณ์ แต่ไม่สมบูรณ์ นับยังไงก็ไปไม่ถึงเลขเจ็ด อยู่แค่หกเท่านั้น สิ่งที่มาจากมารพาเราไปไม่ถึงความสุขแท้ ไปไม่ถึงชัยชนะอย่างสิ้นเชิง ไปไม่สุดทาง เป็นหนทางกว้างที่นำไปสู่ความตาย คริสเตียนต้องแสวงหาน้ำพระทัยพระเจ้า ต้องหาเลขเจ็ด เลขแห่งความสมบูรณ์ ต้องเปลี่ยนจิตใจ เปลี่ยนอุปนิสัยใหม่ ถ้ายังอยู่กับจิตใจเดิมๆ นิสัยเดิม เพราะชีวิตเก่าจะทำให้เราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเครื่องหมายเลข666 ของมาร หน้าผากและข้อมือของเรากำลังพร้อมรับเครื่องหมายนี้ในวันหนึ่งในอนาคต เพราะเราจะกำลังดำเนินชีวิตเหมือนคนที่ยอมให้ถูกบีบบังคับให้เป็นทาส เราใช้ชีวิตอย่างคนที่ไม่ตระหนักว่า อะไรคือน้ำพระทัยพระเจ้า อะไรดี อะไรเป็นที่ชอบพระทัย อะไรดียอดเยี่ยม ซึ่งไม่แตกต่างจากคนที่ไม่มีพระเจ้า เป็นการยอมให้มารใช้ชีวิตเก่า อดีตที่ไม่เปลี่ยนแปลงของเราอย่างที่มันอยากให้เราเป็น และไม่ยอมเป็นอย่างที่พระเจ้าอยากให้เราเป็น เมื่อโมเสสถามว่าพระเจ้าชื่ออะไร พระเจ้าทรงตอบโมเสสว่า “เราเป็นซึ่งเราเป็น” คำที่พระเจ้าทรงใช้ในชื่อของพระองค์แปลว่า พระองค์ทรงเป็นปัจจุบันเสมอ พระองค์ไม่เคยเป็นอดีต พระเจ้าต้องการให้เราเป็นอย่างที่เราเป็นคือ เป็นอย่างที่พระเจ้าทรงสร้างเราตั้งแต่แรกเริ่ม แต่มนุษย์ได้ล้มลงในความบาป ทำให้มนุษย์ไม่ได้เป็นอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เป็น การเสด็จมาของพระเยซูคือการกลับสู่สภาพดีดังเดิม มารได้โกหกหลอกลวง ทำให้เรากลับไปสู่สภาพที่แย่กว่าเดิม ทำให้มนุษย์สูญเสียและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้า เมื่อมนุษย์สูญเสียชีวิตที่เป็นปัจจุบันไป มารได้เอาอดีตที่ล้มเหลว เจ็บปวด และขมขื่นมาตอกย้ำในมนุษย์ ทำให้มนุษย์อยู่กับอดีตที่ล้มเหลว แม้กระทั่งคนที่มารู้จักพระเยซูคริสต์ เปลี่ยนเป็นคริสเตียนแล้ว แต่ก็เป็นการเปลี่ยนแปลงภายนอกมิใช่ภายใน ทำให้คริสเตียนบางคนดำเนินชีวิตในมิติของอดีต เต็มไปด้วยความกลัว ความโกรธและความเศร้า ภายใต้อารมณ์ของอดีตที่เจ็บปวดเหล่านี้ทำให้คริสเตียนไปไม่ถึงชัยชนะขององค์พระเยซูคริสต์เจ้าที่ทรงชนะแล้ว 1ยอห์น5:1,4 1 ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็เกิดจากพระเจ้า และผู้ใดรักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิด ผู้นั้นก็รักคนที่เกิดจากพระองค์ด้วย….4 เพราะทุกคนที่เกิดจากพระเจ้า ก็มีชัยต่อโลก และความเชื่อของเรานี่แหละเป็นชัยชนะที่ชนะโลก คนที่อยู่กับมิติในอดีตที่เจ็บปวด ขมขื่นจะพ่ายแพ้ต่ออารมณ์ของตนเอง รักคนอื่นได้ยาก เพราะชีวิตไม่สามารถให้อภัยได้ง่าย รู้ว่าต้องให้อภัย รู้ว่าคือน้ำพระทัยพระเจ้า รู้อะไรๆมากมายแต่ขาดกำลังที่จะทำตามน้ำพระทัยพระเจ้า การเป็นคริสเตียนที่ดูเหมือนเป็นพวกเดียวกันกับพระเยซูคริสต์คือแค่ภาพลวงตา ไม่ใช่ของแท้ อย่ารอให้ถึงวันนั้น วันที่จิตใจของเราไม่มีแรงที่จะหันกลับมาหาพระเจ้า จิตใจที่อยากไปกับบาป ไปกับความอยาก ไปกับความปรารถนาของตัวเอง ไปกับความรู้สึกที่รู้ว่าดีแต่ไม่ทำ ควรตอบสนองแต่ไม่ตอบสนอง ควรกลับมาหาพระเจ้าแต่ไม่กลับ พระคัมภีร์พูดถึงการเก็บเกี่ยวสองอย่าง เก็บเกี่ยวแรกคือการประกาศเพื่อนำคนมาถึงพระเจ้า เป็นการเก็บเกี่ยวโดยคริสเตียน เก็บเกี่ยวที่สองคือการเก็บเกี่ยวโดยทูตสวรรค์ที่จะมาแยกของแท้ออกจากของปลอม เป็นการเก็บเกี่ยวเพื่อการพิพากษา
2. มิติปัจจุบัน…การถวายทำให้อยู่รอด มาลาคี 3:10-12
10 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า จงนำทศางค์เต็มขนาดมาไว้ในคลัง เพื่อว่าจะมีอาหารในนิเวศของเรา จงลองดูเราในเรื่องนี้ดูทีหรือว่า เราจะเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ให้เจ้า และเทพรอย่างล้นไหลมาให้เจ้าหรือไม่11 เราจะขนาบตัวที่ทำลายให้แก่เจ้า เพื่อว่ามันจะไม่ทำลายผลแห่งพื้นดินของเจ้า และผลองุ่นในไร่นาของเจ้าจะไม่ร่วง พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ12 พระเจ้าจอมโยธาตรัสว่า แล้วประชาชาติทั้งสิ้นจะเรียกเจ้าว่า ผู้ที่ได้รับพระพร ด้วยว่าเจ้าจะเป็นแผ่นดินที่น่าพึงใจ คนในโลกนี้กำลังมุ่งหน้าสู่มิติอนาคตโดยมองมิติปัจจุบันที่ความขาดแคลน การมองแก้วน้ำที่มีน้ำครึ่งแก้ว ว่ายังขาดอีกครึ่ง ต้องหามาเติมให้เต็ม มีคำแนะนำมากมายให้ใช้น้ำครึ่งแก้วที่มีเพื่อหาส่วนที่ขาดให้เต็ม แต่คำสอนในพระคัมภีร์กลับให้ใช้น้ำครึ่งแก้วที่มีเพียงแค่หนึ่งในสิบกับการถวาย แล้วพระเจ้าจะเป็นผู้ทำให้ล้นไหลเอง ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องรับพระพรอย่างล้นไหลตามพระสัญญาของพระเจ้า ไม่ใช่รอให้มีเหลือก่อนค่อยถวาย แต่ถวายในขณะที่มีไม่เหลือ ไม่พอ แต่พระเจ้าทรงต้องการอวยพรเรา ให้เรามีล้นไหล ตัวอย่างเรื่อง หญิงม่ายชาวศาเรฟัทถูกผู้เผยพระวจนะเอลียาห์ท้าทายเรื่องการใช้สิ่งที่เธอมีอยู่ 1พงศ์กษัตริย์17:12-16 12 และนางตอบว่า “พระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่านทรงพระชนม์อยู่แน่ฉันใด ดิฉันไม่มีอะไรที่ปิ้งเสร็จ มีแต่แป้งสักกำมือหนึ่งในหม้อ และน้ำมันเล็กน้อยที่ในไห บัดนี้ดิฉันกำลังเก็บฟืนเล็กน้อย เพื่อจะเข้าไปทำสำหรับตัวดิฉัน และบุตรชายของดิฉัน เพื่อเราจะได้กินแล้วก็จะตาย”13 และเอลียาห์บอกนางว่า “อย่ากลัวเลย จงไปทำตามที่เจ้าพูด แต่จงทำขนมก้อนเล็กให้ฉันก่อน แล้วเอามาให้ฉัน ภายหลังจึงทำสำหรับตัวเจ้าและบุตรของเจ้า14 เพราะพระเยโฮวาห์พระเจ้าของอิสราเอลตรัสดังนี้ว่า ‘แป้งในหม้อนั้นจะไม่หมด และน้ำมันในไหนั้นจะไม่ขาด จนกว่าจะถึงวันที่พระเจ้าทรงส่งฝนลงมายังพื้นดิน’ ”15 นางก็ไปกระทำตามคำของเอลียาห์ นาง ตัวท่านและครอบครัวของนางก็รับประทานอยู่หลายวัน16 แป้งในหม้อก็ไม่หมด น้ำมันในไหก็ไม่ขาด ตามพระวจนะของพระเจ้าซึ่งตรัสทางเอลียาห์ หญิงม่ายชาวศาเรฟัท กำลังมองปัจจุบันที่มีไม่พอ และอนาคตที่ขาดแคลน แต่เอลียาห์คนของพระเจ้าได้นำหญิงม่ายให้มองปัจจุบันว่า เธอมีเพียงพอที่จะให้พระเจ้า และมีพอที่จะให้กับตัวเองและลูกด้วย โดยให้เริ่มต้นด้วยการถวายสิ่งที่มีอยู่ที่เหลือน้อย เพื่อฤดูกาลหน้าที่จะไม่ขาดแคลน ไหน้ำมัน ถังแป้งไม่ขาด จนกว่าสถานการณ์โลกจะกลับมาปกติ ในช่วงเวลาของเอลียาห์ก็เจอกับสถานการณ์กันดารอาหารรุนแรงกับแผ่นดิน ฝนไม่ตกเป็นเวลาสามปีครึ่ง วันนี้เรากำลังเจอกับภัยแล้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่พระเจ้าจะทำให้เราอยู่ได้ ขอให้เราดำเนินชีวิตในมิติปัจจุบันด้วยการใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อพระเจ้า เพื่องานของพระเจ้า เพื่อคนของพระเจ้า แล้วเราจะรอดตายไปด้วยกัน 2โครินธ์ 9:6-8 6 นี่แหละคนที่หว่านเพียงเล็กน้อยก็จะเกี่ยวเก็บได้เพียงเล็กน้อย คนที่หว่านมากก็จะเกี่ยวเก็บได้มาก7 ทุกคนจงให้ตามที่เขาได้คิดหมายไว้ในใจ มิใช่ให้ด้วยนึกเสียดาย มิใช่ให้ด้วยการฝืนใจ เพราะว่าพระเจ้าทรงรักคนนั้นที่ให้ด้วยใจยินดี8 และพระเจ้าทรงฤทธิ์อาจประทานของดีทุกสิ่งอย่างอุดมแก่ท่านทั้งหลาย เพื่อให้ท่านมีทุกสิ่งทุกอย่างเพียงพอสำหรับตัวเสมอ ทั้งจะมีสิ่งของบริบูรณ์สำหรับงานที่ดีทุกอย่างด้วย พระเยซูคริสต์ได้ตรัสเกี่ยวกับหญิงม่ายที่ถวายแค่เหรียญทองแดงสองเหรียญว่าได้ให้มากกว่าคนอื่น เพราะนางได้ให้ทั้งหมดที่มี แต่คนอื่นได้ให้ที่เหลือแล้วแด่พระเจ้า ข้าพเจ้าอยากท้าทายเราทั้งหลายให้ใช้สิ่งที่มีอยู่เพื่อพระเจ้า ถวายสิบลด ถวายเพื่อพันธกิจ ถวายเพื่องานของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ฟังคำพยานมากมายว่าพระเจ้าทรงทำตามพระสัญญาเรื่องการถวายอย่างมากมายอย่างไร สถานการณ์ของโลก เศรษฐกิจของโลกกำลังถดถอย เราจะเตรียมตัวรับมืออย่างไร ข้าพเจ้าคิดว่า ถึงเวลาแล้วที่เราจะเตรียมรับมือกับอนาคตด้วยการทำให้ปัจจุบันของเราขึ้นอยู่กับพระเจ้า ไม่ใช่ขึ้นอยู่ความวิตกกังวลว่าอนาคตจะไม่พอ อนาคตจะขาด
3. มิติอนาคต….การใช้เวลาส่งต่อชีวิตสามมิติแก่ผู้อื่น มัทธิว 28:19-20
19 เหตุฉะนั้นเจ้าทั้งหลายจงออกไปสั่งสอนชนทุกชาติ ให้เป็นสาวกของเรา ให้รับบัพติศมาในพระนามแห่งพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์20 สอนเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดซึ่งเราได้สั่งพวกเจ้าไว้ นี่แหละเราจะอยู่กับเจ้าทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์ตอนนี้คือการบอกกับสาวกของพระองค์ว่า อย่าดำเนินชีวิตอย่างคนที่ฆ่าเวลา การฆ่าเวลาคือการทำลายชีวิตทั้งของตนเองและของคนอื่น การมองมิติอนาคตอย่างคนของพระเจ้าคือการช่วยชีวิตคน พระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์คือการช่วยชีวิตคนด้วยการออกไปประกาศข่าวประเสริฐและสอนคนให้เป็นสาวกของพระเยซู คือการเปลี่ยนมิติมุมมองแก่คนในโลกนี้ให้มองอดีต มองปัจจุบัน และอนาคตด้วยมิติมุมมองของพระเจ้า ข้าพเจ้าได้ไปประชุมคองเกรสในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีวีดีโอที่น่าประทับใจหลายเรื่อง เรื่องหนึ่งได้ฉายให้เห็นว่า มีคริสเตียนคนหนึ่งเข้าสู่ภวังค์เห็นตัวเองมีพลังวิเศษสามารถมองเห็นเวลาที่เหลืออยู่ของบนหัวของคนมากมาย เขาเห็นคนที่ยังมีเวลาเหลืออีกหลายปี และเห็นคนที่มีเวลาเหลือน้อย เขาจึงเริ่มไปแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนที่มีเวลาเหลือน้อย ขณะที่กำลังประกาศเรื่องพระเยซูกับคนที่มีเวลาเหลือน้อยอยู่นั้น เขาก็เห็นอีกคนเหลือเวลาแค่สิบห้าวินาที และเมื่อเวลากำลังจะหมดไป เขาก็ไปไม่ทันคนๆนั้น ซึ่งถูกรถชนตายไป ทำให้เขารีบวิ่งกลับไปหาพ่อแม่ที่บ้าน และเมื่อเขามองเห็นเวลาของพ่อแม่ยังเหลืออยู่อีกคนละห้าปี คนละแปดปี เขาก็โล่งอก พ่อแม่ถามว่ามาหาเรื่องอะไร เขาก็เปลี่ยนความคิดที่จะประกาศกับพ่อแม่ เพราะคิดว่า ยังมีเวลาเหลืออยู่สำหรับที่จะประกาศกับพ่อแม่ แต่สิ่งหนึ่งเขาลืมไปก็คือ เขาลืมมองดูเวลาของตัวเองว่าเหลืออยู่เท่าไหร่ จนเขามองดูที่กระจกและเห็นเวลาของตัวเองเหลือแค่สิบห้าวินาที เขาตัดสินใจอยากวิ่งกลับไปหาพ่อแม่ ก็ไม่ทัน อยากไปทำอะไรก็ไม่ทัน และตอนจบของวีดีโอได้ทำให้เขาออกจากภวังค์และรู้ว่า ความจริงเขาไม่ได้มีพลังวิเศษที่จะรู้เวลาว่าเวลาของใครเหลือเท่าไหร่ แม้กระทั่งเวลาของตัวเอง เขาขอบคุณพระเจ้าที่ทำให้เขาไม่รู้เวลาเหล่านั้นเพื่อเขาจะประกาศกับทุกคนทุกเวลาทุกโอกาส และใช้เวลาของตัวเองในการทำตามพระมหาบัญชาของพระเยซูคริสต์คือสร้างคนทุกคนให้มีชีวิตใหม่ในสามมิติแห่งการใช้ชีวิต ใช้เงินทอง และใช้เวลาอย่างคนที่กำลังก้าวไปสู่ชีวิตที่ครบบริบูรณ์ที่แท้จริง ยอห์น 10:10 10 ขโมยนั้นย่อมมาเพื่อจะลักและฆ่าและทำลายเสีย เราได้มาเพื่อเขาทั้งหลายจะได้ชีวิต และจะได้อย่างครบบริบูรณ์ พระเยซูทรงตรัสว่าพระองค์ทรงมาเพื่อทำให้เราไปถึงความสมบูรณ์ อย่าลืมว่า เลขแห่งความสมบูรณ์ของพระเจ้าคือเลขเจ็ด แต่ของมารคือเลขหก ห่างกันแค่นิดเดียว ดูเหมือนใช่ ใกล้ แต่ไม่ใช่ และไม่ได้นำเราไปสู่ความสมบูรณ์ที่แท้จริง จงใช้สติปัญญาในการใช้ชีวิต ใช้เงินทอง และใช้เวลาให้ไปถึงความสมบูรณ์ของพระเจ้า ที่ปราศจากที่ติ…ด้วยชีวิตใหม่ในสามมิตินี้ อาเมน
“ปราศจากที่ติ…ด้วยชีวิตใหม่สามมิติ”
1. มิติอดีต…ที่ต้องจัดการกับชีวิตเก่า
2. มิติปัจจุบัน….การถวายทำให้อยู่รอด
3. มิติอนาคต….การใช้เวลาส่งต่อชีวิตสามมิติแก่ผู้อื่น