“จุดติดไฟ…มีไฟมากขึ้น”
จุดติดไฟ ยังไม่ได้หมายความว่า ไฟจะติดตลอด อาจดับได้ ต้องเป่า ต้องทำให้มีไฟมากขึ้น ไฟนั้นจะคงอยู่นาน
มีเรื่องเล่าว่า คนตาบอดกำลังเดินทางกลับบ้านในเวลากลางคืน ก็มีคนจุดตะเกียงและมอบให้กับคนตาบอด แต่คนตาบอดตอบว่า เขาไม่จำเป็นต้องมีตะเกียง เพราะตาของเขามองไม่เห็น คนที่มอบให้ตอบว่า ให้ไว้ เพื่อคนอื่นจะมองเห็นและไม่เดินมาชน เมื่อคนตาบอดถือตะเกียงเดินทางไปสักระยะหนึ่ง ก็มีคนมาชนคนตาบอด ที่ยังถือตะเกียงอยู่ ก็โวยวายว่า ไม่เห็นหรือไงว่า มีตะเกียงอยู่ คนที่ชนก็ตอบคนตาบอดว่า ตะเกียงนี้มันดับ ไม่ได้ส่องสว่าง
ลูกา 11:34-36 34 ตาเป็นประทีปของร่างกาย เมื่อตาของท่านปกติ ทั้งตัวก็พลอยสว่างไปด้วย แต่เมื่อตาของท่านผิดปกติ ทั้งตัวของท่านก็พลอยมืดไปด้วย35 เหตุฉะนั้นจงระวังให้ดี ไม่ให้ความสว่างซึ่งอยู่ในท่านเป็นความมืดนั่นเอง36 เหตุฉะนั้นถ้ากายทั้งสิ้นของท่านเต็มด้วยความสว่าง ไม่มีที่มืดเลย ก็จะสว่างตลอด เหมือนอย่างแสงสว่างของตะเกียงที่ส่องมาให้ท่าน”
ในยุคโบราณ ใช้ไฟ ที่จุดติดขึ้น ให้แสงสว่างในเวลากลางคืน ด้วยตะเกียง เป็นอุปกรณ์สำหรับจุดติดไฟ มีไส้ตะเกียงกับน้ำมัน ทำให้ไฟนั้นยังคงอยู่ ความสะอาดของไส้ตะเกียงก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งด้วยเช่นกัน ที่อาจทำให้ไฟของตะเกียงรีบหรี่ จวนดับ ไฟก็จะหมดไป คำสอนของพระเยซูที่ใช้ตะเกียงเปรียบเหมือนชีวิตของสาวกของพระองค์ เพื่อเตือนถึงการดำเนินชีวิตในโลกนี้ ที่เป็นเหมือนกลางคืน ต้องการแสงสว่างนำทาง
ลูกา 12:35 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
พระเยซูคริสต์ทรงสอนถึงการดำเนินชีวิตในโลกนี้ของสาวก ควรอยู่ในท่าทีเหมือนผู้รับใช้ที่รอคอยที่จะปรนนิบัติเจ้านาย ที่กำลังจะมา หากจะพูดตามภาษาในยุคของเรา ก็คือ จงเป็นคนที่มี service mind นิสัยบริการ ปรนนิบัติคน service mind มักเป็นบุคคลิกของคนที่มีความกระตือรือร้น มีไฟในการปรนนิบัติ
พระเยซูทรงตรัสถึงพระองค์เองว่า….
มาระโก 10:45 45 เพราะว่าบุตรมนุษย์มิได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่ท่านมาเพื่อจะปรนนิบัติเขา และประทานชีวิตของท่านให้เป็นค่าไถ่คนเป็นอันมาก”
พระเยซูทรงเป็นต้นแบบของ service mind หัวใจการบริการ พระองค์เป็นต้นแบบของสังคมสงเคราะห์ทั้งหลาย อย่างครบองค์รวม ทรงช่วยคนทั้งร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาณ
พระเยซูทรงทำพันธกิจ เหน็ดเหนื่อย และพระองค์ทรงใช้เวลาพักเพื่อจะชาร์ตพลัง ด้วยการอธิษฐาน เราไม่เคยเห็นพระเยซูหมดไฟ พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ถึงพระเยซูว่า ไส้ตะเกียงของพระเยซูไม่ริบหรี่
อิสยาห์ 42:4 4 ท่านจะไม่ริบหรี่หรือชอกช้ำ จนกว่าท่านจะสถาปนาความยุติธรรมไว้ในโลก และแผ่นดินชายทะเลรอคอยพระธรรมของท่าน
ไส้ตะเกียง ไม่ริบหรี่ เพราะไส้ตะเกียงนั้น สะอาดตลอดเวลา พระคัมภีร์ได้กล่าวถึง พระเยซูทรงปราศจากบาป ความบาป ทำให้แสงสว่างในชีวิตของมนุษย์หมองลง หรี่ลง สาวกของพระเยซูต้องทำความสะอาดไส้ตะเกียง ก็คือการสำรวจความบาปในชีวิตเสมอ และสารภาพบาป กลับใจใหม่ตลอดเวลา แปลว่า สาวกมีโอกาสผิดพลาดได้ แต่สาวกสามารถรับการให้อภัยบาป จากพระเจ้าได้ด้วยเช่นกัน
การฟื้นฟู คือการกลับใจใหม่บ่อยๆ ในชีวิตของสาวก และนี่คือการรักษาไฟของพระวิญญาณในชีวิตของสาวก ให้ลุกโชติช่วงตลอดเวลา
ช่วงนี้ พวกเรา ทั้งผู้ใหญ่และอนุชน เพิ่งกลับจากค่าย ความรู้สึกตอนนี้ เรากำลังสดชื่น รับการฟื้นฟู จิตใจร่างกาย และจิตวิญญาณ ได้ใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น รู้สึกร้อนรน หิวกระหายพระคำ กระหายหาพระเจ้า และกระหายความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน นี่คือไฟที่จุดติดขึ้นแล้ว ถ้าจะไม่ให้ดับ ต้องทำให้ไฟมีมากขึ้น ร้อนมากขึ้น
เราจะทำได้อย่างไร? ให้ไฟที่จุดติดแล้ว จะมีมากขึ้น ร้อนมากขึ้น อย่าให้ริบหรี่ หรือจวนดับ หรือดับไปอีก
ลูกา 12:35 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
คำอุปมาเรื่องหญิงพรมจารีสิบคน ห้าคนฉลาด และห้าคนโง่ คือเรื่องของการจุดติดไฟ และรักษาไฟไม่ให้ดับ หรือจวนดับเด็ดขาด
มัทธิซ 25:1-13 1 “เมื่อถึงวันนั้น แผ่นดินสวรรค์จะเปรียบเหมือน หญิงพรหมจารีสิบคนถือตะเกียงของตน ออกไปรับเจ้าบ่าว2 เป็นคนโง่ห้าคน เป็นหญิงมีปัญญาห้าคน3 ฝ่ายคนโง่นั้นเอาตะเกียงของตนไป แต่หาได้เอาน้ำมันไปด้วยไม่4 คนที่มีปัญญานั้นได้เอาน้ำมันใส่กาไปกับตะเกียงของตนด้วย5 เมื่อเจ้าบ่าวยังช้าอยู่ ก็พากันง่วงเหงาและหลับไป6 ครั้นเวลาเที่ยงคืนก็มีเสียงร้องมาว่า ‘เจ้าบ่าวมาแล้ว จงออกมารับท่านเถิด’7 พวกหญิงพรหมจารีเหล่านั้นก็ลุกขึ้นตกแต่งตะเกียงของตน8 พวกที่โง่นั้นก็พูดกับพวกที่มีปัญญาว่า ‘ขอแบ่งน้ำมันของท่านให้เราบ้าง ตะเกียงของเราจวนจะดับอยู่แล้ว’9 พวกที่มีปัญญาจึงตอบว่า ‘น่ากลัวน้ำมันจะไม่พอสำหรับเราและเจ้า จงไปหาคนขาย ซื้อสำหรับตัวเองจะดีกว่า’ 10 เมื่อกำลังไปซื้อนั้นเจ้าบ่าวก็มาถึง ผู้ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรสแล้วประตูก็ปิด11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกห้าคน ก็มาร้องว่า ‘ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย’12 ฝ่ายท่านตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’13 เหตุฉะนั้น จงเฝ้าระวังอยู่ เพราะท่านทั้งหลายไม่รู้กำหนดวันหรือโมงนั้น
จุดติดไฟ…มีไฟมากขึ้น ตรงกันข้ามกับสภาพตะเกียงจวนจะดับ จุดติดไฟ…มีไฟมากขึ้น คือความพร้อม
หญิงพรมจารีห้าคนที่พระเยซูทรงเรียกว่า หญิงมีปัญญา ได้เตรียมความพร้อมด้วยตะเกียงของนางจุดติดไฟ และไฟไม่ริบหรี่จวนดับ คือต้องมีไฟมากขึ้น ไฟที่มากขึ้น เกิดจากปัจจัยสองอย่าง คือ กากาศ ที่สนับสนุนให้เกิดการเผาไหม้ และเชื้อเพลิงที่นอกจากจะจุดติดไฟแล้ว ยังหล่อเลี้ยงให้ไฟเผาไหม้ได้ตลอดเวลา การเผาไหม้ ได้ถูกนำมาใช้เป็นพลังงานขับเคลื่อนเครื่องยนต์ เครื่องจักร ต่างๆ มากมาย ทำนองเดียวกัน ใจที่มีพลังขับเคลื่อนชีวิตของการเป็นสาวกของพระเยซู ต้องการการเผาไหม้ เผาผลาญอย่างตะเกียง พระเยซูทรงเรียกสาวกว่า เป็นตะเกียงที่ถูกจุดขึ้นแล้ว
พลังชีวิตของสาวกของพระเยซู ต้องการการเผาผลาญจากไฟ ที่จุดตะเกียงความสว่างของชีวิตเช่นกัน พระเยซูทรงเปรียบเทียบสาวกเป็นเหมือนตะเกียงที่จุดติดแล้ว ไม่มีการเอาถึงมาครอบ (ขาดอากาศ ไฟก็จะดับ)
มัทธิว 5: 14-16 14 “ท่านทั้งหลายเป็นความสว่างของโลก นครซึ่งอยู่บนภูเขาจะปิดบังไว้ไม่ได้15 เมื่อจุดตะเกียงแล้ว ไม่มีผู้ใดเอาถังครอบไว้ ย่อมตั้งไว้บนเชิงตะเกียง จะได้ส่องสว่างแก่ทุกคนที่อยู่ในเรือนนั้น16 ท่านทั้งหลายก็เหมือนกับตะเกียง จงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาได้เห็นความดีที่ท่านทำ เขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่าน ผู้ทรงอยู่ในสวรรค์
พระวิญญาณบริสุทธิ์ถูกเปรียบเทียบเป็นเหมือนลม (อากาศ) ที่จะทำให้ไฟที่ถูกจุดติดภายในสาวก ไม่ดับ และยังเผาไหม้เผาผลาญได้มากขึ้น
สาวกของพระเยซูคริสต์ ต้องเป็นตะเกียงที่มีทั้งลมและน้ำมัน คือพระวิญญาณบริสุทธิ์เติมเต็มล้นตลอดเวลา การบังเกิดใหม่ คือจุดเริ่มต้นของการให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ จุดติดไฟ…และให้พระองค์พัดกระพือไฟมากขึ้นด้วย การทำหน้าที่ ของพระวิญญาณเหมือนลม(อากาศ)ตลอดเวลา สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ จากการมีวินัย ในการอธิษฐาน อ่านพระคัมภีร์ และสามัคคีธรรมกับพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างสม่ำเสมอ
ไฟที่อ่อนลง หรือจวนจะดับ จะจุดติดขึ้นมาใหม่ ด้วยการทำความสะอาดไส้ตะเกียง และเติมน้ำมัน ทำนองเดียวกันกับการไปรับการฟื้นฟู ในงานต่างๆ แต่เมื่อฟื้นฟู จุดติดแล้ว ระวัง จะแฟบ คือไฟดับ ถ้าไม่มีไฟมากขึ้น
ยอห์น 3:8 8 ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่านไม่รู้ว่าลมมาจากไหนและไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณ ก็เป็นอย่างนั้นทุกคน”
จุดติดไฟ…มีไฟมากขึ้น คือวิถีชีวิตของสาวกของพระเยซู ไม่หมดไฟ ไม่เย็นๆ ไม่เฉยๆ แต่เคลื่อนไปด้วยกันได้กับพระเจ้า พระเจ้าไปด้วยกันได้กับเรา ความหิวกระหายการทรงสถิตของพระเจ้า กลายเป็นธรรมชาติของการมีไฟมากขึ้น
หญิงพรมจารี ห้าคนที่มีปัญญา พร้อมสำหรับไปด้วยกันกับเจ้าบ่าว
….ที่พร้อมอยู่แล้ว ก็ได้ไปกับท่านในการเลี้ยงเนื่องในงานสมรส…
การมีไฟมากขึ้น คือความพร้อมอยู่แล้ว คือความกระหายต้องการที่จะพบกับพระเยซู หญิงพรมจารีโง่ห้าคน มัวแต่สาละวนกับการไปหาซื้อน้ำมัน เพื่อเติมตะเกียงของตนเองให้มีไฟ เพียงแค่ ไม่ให้ไฟดับ นี่คือความไม่พร้อม ไม่กระตือรือร้นที่จะไป นางเหล่านี้ เป็นแค่ ผู้ที่อยากจะร่วมงาน แต่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในงานนั้น ต่างกันกับผู้ที่พร้อมอยู่แล้ว คือมีไฟที่ร้อน สว่าง ไม่มีอาการของไฟที่จวนจะดับ
พระเยซูทรงใช้คำนี้ เพื่อจะบอกว่า พระองค์ต้องการคนที่มี sense of belonging แปลว่า ความเป็นเจ้าของ หากจะเรียกก็คือ ร่วมเป็นเจ้าภาพกับพระเจ้า ในงานของพระองค์ ความเป็นเจ้าของ ทำให้เราไม่ทิ้ง ไม่ละงานของพระเจ้า ความเป็นเจ้าภาพร่วมกับพระเจ้า ทำให้เรายอมละทิ้งความปรารถนาส่วนตัวของตัวเราเอง เพื่อให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จ ในภาพรวม
จุดติดไฟ…มีไฟมากขึ้น คือความพร้อมอยู่แล้วสำหรับการมีส่วนร่วม หญิงพรมจารีมีปัญญาห้าคน ทำให้การมาของเจ้าบ่าว น่าชื่นชมยินดี เพราะบรรยากาศไม่เงียบเหงา เศร้าซืมไปกับความมืด สลัวๆ แต่กลับมีแสงสว่าง การต้อนรับ จากผู้ที่รอคอย
ส่วนคำตอบที่หญิงพรมจารีโง่ห้าคนได้รับ เมื่อมาเคาะประตูงานที่ปิดไปแล้วว่า
11 ภายหลังหญิงพรหมจารีอีกห้าคน ก็มาร้องว่า ‘ท่านเจ้าข้าๆ ขอเปิดให้ข้าพเจ้าเข้าไปด้วย’12 ฝ่ายท่านตอบว่า ‘เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า เราไม่รู้จักท่าน’
ในคำอุปมาของพระเยซูอีกตอนได้กล่าวถึงความไม่พร้อมที่จะร่วมงานเลี้ยง ด้วยการปฏิเสธเมื่อถูกเชิญ หนึ่งในนั้นก็คือ
ลูกา 14:17-21 17 เมื่อถึงเวลาเลี้ยงแล้ว เขาก็ใช้บ่าวของตนไปบอกคนทั้งหลายที่ได้รับเชิญไว้แล้วว่า ‘เชิญมาเถิด เพราะสิ่งสารพัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว’18 บรรดาคนเหล่านั้นก็พากันขอตัว คนแรกว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อนาไว้ และจะต้องไปดูนานั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’ 19 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าได้ซื้อโคไว้ห้าคู่ และจะต้องไปลองดูโคนั้น ข้าพเจ้าขอตัวเถอะ’20 อีกคนหนึ่งว่า ‘ข้าพเจ้าพึ่งแต่งงานใหม่ เหตุฉะนั้นข้าพเจ้าไปไม่ได้’21 บ่าวนั้นจึงกลับมาเล่าเนื้อความให้นายฟัง นายก็โกรธ จึงสั่งบ่าวว่า ‘จงออกไปโดยเร็วตามถนนใหญ่ ตรอกน้อยในเมือง พาคนจน คนพิการ คนตาบอด และคนเขยกเข้ามาที่นี่’
การเสด็จมาของพระเยซู จะมีคนที่ไม่ได้ไป เพราะความไม่พร้อมด้วยว่า ตะเกียงริบหรี่ ไฟจวนดับ และมัวแต่ไปสาละวนกับเรื่องของตนเอง การติดไฟ….และมีไฟเพิ่ม เป็นเพียงแค่วาระพิเศษ ในการร่วมงานฟื้นฟู และพบกับประสบการณ์ฟูแล้วก็แฟบ
ผู้ที่มีนิมิต จะเป็นผู้จุดติดไฟได้ด้วยตัวเอง และจุดติดให้กับคนอื่น นิมิตที่มาจากการสำแดงของพระเจ้า จะขับเคลื่อนไปด้วยน้ำมันและลมของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ลมปากของมนุษย์
สุภาษิต 29:18 18 ที่ที่ไม่มีนิมิต ประชาชนก็ปล่อยตัว แต่คนที่รักษาธรรมบัญญัติย่อมเป็นสุข
ฮาบากุก 2:2-3 2 และพระเจ้าตรัสตอบข้าพเจ้าว่า “จงเขียนนิมิตนั้นลงไป จงเขียนไว้บนแผ่นป้ายให้กระจ่าง เพื่อให้คนที่วิ่งอ่านได้คล่อง 3 เพราะว่านิมิตนั้นยังรอเวลาของมันอยู่ มันกำลังรีบไปถึงความสำเร็จ มันไม่มุสา ถ้าดูช้าไป ก็จงคอยสักหน่อย มันจะบังเกิดขึ้นเป็นแน่ คงไม่ล่าช้านัก
จุดติดไฟ….มีไฟมากขึ้น จะวิ่งตามนิมิตที่มองเห็นชัดเจน และรอคอยนิมิตนั้นด้วยความเชื่อ แม้จะช้าก็รอได้ ร้อนรน ไม่ใช่ใจร้อน
จุดติดไฟ….มีไฟมากขึ้น มีนิมิตเป้าหมายที่ชัดเจนนำไปสู่ความสำเร็จทั้งมวล
ลูกา 12:35 35 “ท่านทั้งหลายจงคาดเอวของท่านไว้ และให้ตะเกียงของท่านจุดอยู่
1 เธสะโลนิหา 5:19 19 อย่าดับพระวิญญาณ
จุดติดไฟ….มีไฟมากขึ้น