“พระเยซูคริสต์…พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก”
ลูกา 21:19-36
พระเยซูคริสต์ในตอนนี้ กำลังสอนศิษย์ของพระองค์ให้อธิษฐาน เพื่อจะสามารถเผชิญกับสถานการณ์กดดัน สถานการณ์ที่น่าตกใจ น่ากลัว และพระองค์ทรงเป็นแบบอย่างในเรื่องนี้ ก่อนหน้านี้ พระเยซูทรงพยากรณ์ถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ในภายหน้า คือช่วงที่กรุงเยรูซาเล็มถูกทำลายในปีคศ. 70 หลังจากพระเยซูคริสต์ทรงถูกตรึง ฟื้นขึ้นจากความตาย และเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ทรงให้พระมหาบัญชาแก่ศิษย์ของพระองค์ให้ประกาศข่าวประเสริฐ คือเรื่องของพระเยซูคริสต์ ที่ทรงเสด็จมาทำพันธกิจต่างๆมากมาย เพื่อให้มนุษย์ทุกคนได้รับความรอด คำพยากรณ์นี้ ได้กล่าวถึงหนทางวิบากที่ศิษย์ของพระเยซูจะต้องเผชิญการต่อต้าน ข่มเหง และการไล่ล่า และพระเยซูคริสต์ทรงย้ำว่า พวกศิษย์จะต้องรักษาชีวิตของตนเองเอาไว้ ให้รอด อย่ายอมแพ้ อย่าถดถอย อย่าถอดใจ อย่าหันหลังกลับ …..
ลูกา 21:19,34-36 19 ท่านจะได้ชีวิตรอดโดยความอดทนของท่าน….34 “จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่คาดฝัน35 เหมือนอย่างกับดัก เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก36 แต่จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะมีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้”
ประวัติศาสตร์คริสตจักรยุคแรก ที่คริสเตียนถูกข่มเหงอย่างหนัก บ้างก็ถูกตรึงที่กางเขน ถูกเผา ถูกฝังทั้งเป็น ถูกให้สิงโตเสือกิน ถูกฉีก ถูกเอาน้ำมันเดือดๆราด แต่คริสตจักรแทนที่จะเป็นง่อย เป็นหมัน กลับขยายมีมากขึ้น และไปทั่วโลก มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ในยุคปัจจุบัน การข่มเหงคริสเตียนได้เปลี่ยนไปแล้ว มารซาตานมันรู้ว่า ยิ่งข่มเหง คริสเตียนยิ่งเจริญเติบโต และขยายมากขึ้น มันจึงเปลี่ยนกลยุทธใหม่ ซึ่งคำเตือนของพระเยซูคริสต์ในลูกาตอนนี้ได้ใช้คำว่า…
ลูกา 21:34-35 34 “จงระวังตัวให้ดี เกรงว่าใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้ แล้วเวลานั้นจะมาถึงท่านโดยไม่คาดฝัน35 เหมือนอย่างกับดัก เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก
….ใจของท่านจะเต็มล้นไปด้วยการเสเพล การเมาเหล้า และการห่วงกังวลถึงชีวิตนี้…..
สามลักษณะของจิตใจของคนในยุคนี้ที่กำลังเผชิญ รวมทั้งคริสเตียนด้วย จะเป็นสิ่งที่ทำให้คริสตจักรเป็นง่อย เป็นหมัน และตายไป และนี่คือหนทางวิบากที่มนุษย์ทุกคนจะต้องฝ่าผ่านไปให้ได้
พระเยซูคริสต์…พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก คือคำตอบ
มีคำพูดหนึ่งที่กล่าวว่า การมาเป็นคริสเตียนไม่ใช่หนทางที่โรยด้วยกลีบกุหลาบ มีแต่โลกสวย แต่เป็นการได้พบกับความจริงของชีวิต และการมองโลกอย่างที่โลกเป็น โลกกำลังดำเนินไปอย่างไร และจุดจบของโลกใกล้เข้ามาขนาดไหน…. และคริสเตียนที่อยู่ในระหว่างเหตุการณ์ของโลกในยุคสุดท้ายนี้ จะต้องเจอกับหนทางวิบาก ที่จะต้องรักษาความรอดของชีวิตไว้ พระเยซูทรงตรัสไว้ก่อนหน้านี้ในลูกาบทเดียวกันนี้
ลูกา 21:19 19 ท่านจะได้ชีวิตรอดโดยความอดทนของท่าน….
คำกรีกที่พระเยซูคริสต์ทรงใช้ ฉบับคิงส์เจมส์แปลว่า In your patience possess ye your souls. ในความอดทนทำให้ได้ครอบครองจิตวิญญาณของตนเอง หรือกล่าวอีกสำนวนก็คือ ความอดทน ทำให้รักษาจิตวิญญาณของตนเองไว้ได้ คำว่า จิตวิญญาณ รากศัพท์กรีก ซูเค ψυχή psuche (psï-chee’ แปลว่า ชีวิตภายใน Inner being ความปรารถนาของจิตใจ สิ่งที่ผลักดันภายในจิตวิญญาณ ที่จะต้องรักษาไว้ สำคัญกว่าชีวิตภายนอก
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า เราอยู่ในยุคที่ต้องอดทนต่อกันและกัน ฉันอดทนเธอ เธออดทนฉัน เราต่างต้องอดทนต่อกันและกัน ถ้าเราทนกันไม่ได้ เราก็เลิกกัน แยกกัน หนีไปจากกัน มองในมุมกลับ การที่เราต้องอดทนต่อกันและกัน คือการฝึกตัวเราเองที่จะเผชิญกับเหตุการณ์ที่ต้องใช้ความอดทนมากกว่าการทนต่อกันและกัน หรือกล่าวอีกนัยก็คือ การที่ต้องเจอกับภาวะที่ต้องทนกันและกัน คือการที่เราต้องตระหนักว่า นี่คือบททดสอบ ให้ผ่านการทดลอง ที่จะไม่ทำบาป คือ ทนไม่ไหว ไม่ทนอีกต่อไปแล้ว และกลายเป็นเกลียดกัน และวิ่งหนีกันไปจากกันและกัน ด้วยความเกลียดชัง
ให้เราพูดกับคนข้างๆว่า ขอบคุณที่ยังอดทนอยู่ และอดทนกับฉัน และฉันก็กำลังอดทนกับคุณด้วยเช่นกัน ไม่ต้องอายที่จะแสดงความอดทนอดกลั้นต่อกัน เพราะนี่คือ นิยามความรัก อดทนนาน อดทนยิ่งขึ้น และอดทนอย่างทรหด (อาจออกอาการบ้าง แต่ก็อย่าเกลียดจนถึงจงเกลียดจงชัง)
พระคัมภีร์ได้พยากรณ์ว่า คนในยุคสุดท้ายจะมีลักษณะของความอดทนน้อยลงไปเรื่อยๆ แม้กระทั่งความอดทนที่จะฟังคำสอน
2 ทิโมธี 4:3-5 3 เพราะจะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเองเพื่อสนองหูที่คัน4 พวกเขาจะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ5 แต่ท่านจงหนักแน่นมั่นคงทุกเรื่อง จงอดทนต่อความทุกข์ยาก จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ และจงทำพันธกิจของท่านให้ครบบริบูรณ์
มีผู้ใหญ่ที่คร่ำหวอดอยู่กับสถานการณ์ของบ้านเมืองเรา ได้กล่าวว่า ประเทศไทย นับจากนี้ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เป็นจริงดังพระคัมภีร์ทิโมธีตอนนี้ที่อ.เปาโลได้กล่าวสอนทิโมธี และราวกับว่าเป็นคำพยากรณ์ถึงอนาคตที่จะมาถึง คือยุคของเราในวันนี้ ความอดทนของคนจะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และนี่คือหนทางวิบากที่เราผู้เป็นศิษย์ของพระเยซูคริสต์ จำเป็นต้องฝ่าฟันเดินผ่านไปให้ได้ ในคำเชิญชวนของพระเยซูคริสต์ที่ว่า
มัทธิว 11:28-29 28 บรรดาผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายได้หยุดพัก29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”
เพราะพระองค์ทรงรู้ว่า ชีวิตของคนในยุคสุดท้ายจะอยู่ยากยิ่งขึ้น เป็นหนทางวิบากที่ต้องพึ่งพาพันธกิจของพระองค์ ที่จะทำให้สามารถฝ่าไปได้ อย่าแปลกใจ หรือหดหู่ใจ หรือเหน็ดเหนื่อยใจกับความไม่อดทน ไม่อดกลั้นของคน ทุกคนต้องเจอ ไม่ว่าคุณจะเป็นคริสเตียนหรือไม่เป็นคริสเตียน แต่สำหรับคริสเตียน คือผู้ที่เลือกเดินในทางเดียวกันกับพระเยซูคริสต์ คือผู้ที่จะรับพันธกิจฝ่าหนทางวิบากนี้ไปโดยมีพระเยซูคริสต์เป็นครู สอนให้เราเดินไป แบกแอกและภาระ ที่เป็นของพระเยซูคริสต์
มัทธิว 11:29 29 จงเอาแอกของเราแบกไว้ แล้วเรียนจากเรา เพราะว่าเราสุภาพอ่อนโยนและใจอ่อนน้อม และจิตใจของพวกท่านจะได้หยุดพัก30 ด้วยว่าแอกของเราก็พอเหมาะ และภาระของเราก็เบา”
แอกและภาระ คือความรับผิดชอบที่ทุกคนมี อย่าปลดออก แต่จงเรียนรู้และมองให้ทะลุว่า เมื่อแอกและภาระนั้นคือความรับผิดชอบที่พระเจ้าทรงมอบหมายให้ เราจะเข้าใจคำตรัสสอนของของพระเยซู เมื่อเราเข้าใจ แอกและภาระนั้นก็จะไม่หนักหรือเป็นภาระอีกต่อไป และนี่คือสิ่งที่พระเยซูใช้คำว่า มันจะเบาและพอเหมาะ คือ เราจะสามารถรับผิดชอบมันได้ และมันคือความจริงที่ทุกคนต่างมีหน้าที่และความรับผิดชอบ
อย่ากลัวที่จะต้องรับผิดชอบ จงเรียนรู้การเรียงลำดับความรับผิดชอบ ซึ่งพระเยซูคริสต์ทรงขมวดความรับผิดชอบไว้หลักๆแค่สองประการ เมื่อพระองค์ถูกถามโดยผู้เชี่ยวชาญด้านธรรมบัญญัติ
มาระโก 12 :28-31 28 มีธรรมาจารย์คนหนึ่งเข้ามาใกล้ เมื่อได้ยินพวกเขาถกเถียงกัน และเห็นว่าพระองค์ทรงตอบพวกเขาได้ดีจึงทูลถามพระองค์ว่า “พระบัญญัติข้อไหนสำคัญที่สุด?”29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า ของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว30 พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน31 ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้”
พระเยซูคริสต์…พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก มีเคล็ดไม่ลับ อยู่ที่ตรงนี้
1.มีพระเจ้าองค์เดียว…ตรีเอกานุภาพ
มาระโก 12:29 29 พระเยซูจึงตรัสตอบคนนั้นว่า “พระบัญญัติอันดับแรกคือ โอ ชนอิสราเอล จงฟังเถิด องค์พระผู้เป็นเจ้า ของเราเป็นพระเจ้าองค์เดียว
ตรีเอกานุภาพของพระเจ้า ไม่ได้แบ่งแยกพระเจ้าเป็นสามองค์ แต่คือ ฤทธานุภาหนึ่งเดียวได้สำแดงเป็นสามพระภาค เป็นความรับผิดชอบ(หน้าที่)ของพระเจ้าที่ทรงกระทำแก่มนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ จะได้รับประสบการณ์ตรงกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าพระเยซูคริสต์ และพระเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเป็นหนึ่งเดียว ในตัวคนๆเดียว รับพระคุณความรักความเมตตาจากพระเจ้าหนึ่งเดียว
พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก ของพระเยซูคริสต์ ในมิติของความเป็นตรีเอกานุภาพของพระเจ้า เพื่อให้เราได้เรียนรู้และรับการเปลี่ยนแปลงไปในทางเดียวกัน คือ เป็นคนมีบุคคลิกเดียว ในยุคของเรา เรามักจะพบว่า ภายในคนๆหนึ่งมีหลายบุคคลิก หลายอารมณ์ เดี๋ยวเป็นเด็ก เดี๋ยวเป็นผู้ใหญ่ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เปลี่ยนไปตามแรงผลัก แรงชักจูง ไม่มีจุดยืนที่แน่ชัด ไม่มั่นคง เป็นเพราะชีวิตภายใน inner being ของคนจำนวนไม่น้อย ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ภาษาพระคัมภีร์ใช้คำว่า สองใจ Double minded ออกอาการที่เรียกว่าสงสัย ไม่ไว้วางใจอะไรเลย อาจเพราะประสบการณ์ที่ถูกทำลายความไว้วางใจ ก็เลยไม่มีความไว้วางใจ และมักจะมีแต่คำพูดที่ว่า ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร นี่คือ ภาวะของความรู้สึกนึกคิดของจิตใจที่อันตราย เพราะจะถูกชักจูงไปได้ง่าย แต่พันธกิจฝ่าหนทางวิบากของพระเยซูคริสต์จะทำให้เติบโตขึ้น ขจัดบุคคลิกซ้อนทั้งหลายออกไป และออกจากการมีความคิดทับซ้อนสองความคิด
เอเฟซัส 4:13-15 13 จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ และในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า จนกว่าเราจะโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่ คือเต็มถึงขนาดความไพบูลย์ของพระคริสต์14 เพื่อเราจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป ถูกซัดไปซัดมาและหันไปเหมาด้วยลมปากแห่งคำสั่งสอนทุกอย่าง และด้วยเล่ห์กลของมนุษย์ตามอุบายฉลาดอันเป็นการล่อลวง15 แต่ให้เรายึดถือความจริงด้วยความรัก เพื่อจะเจริญขึ้นในทุกด้านสู่พระองค์ผู้เป็นศีรษะคือพระคริสต์
น้ำหนึ่งใจเดียวกัน คือลักษณะเดียวกันกับความเป็นตรีเอกานุภาพต้นแบบของพระเจ้า พระบิดา พระเยซู พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าเดียว คือภาพที่คริสตจักรของพระเยซูคริสต์จะต้องเป็นคริสตจักรเดียว ไม่มีคริสตจักรของใคร แต่เป็นคริสตจักรของพระเยซูคริสต์ที่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน และคริสตจักรที่เป็นเช่นนี้ จะฝ่าหนทางวิบากไปได้ สถานการณ์ของโลกที่กำลังแตกแยก และส่งผลกระทบต่อทุกสังคมให้แตกแยก คริสตจักรก็ต้องฝ่าหนทางวิบากนี้ไปให้ได้ด้วย โดยไม่รับความแตกแยกนั้นเข้ามาในคริสตจักร ในครอบครัวของคริสเตียน สังคมคริสเตียน เพราะเรามีพระเจ้าองค์เดียว (ตรีเอกานุภาพเป็นต้นแบบ) คริสตจักรที่ยังคงความมีพระเจ้าเดียว รักพระเจ้าจนสามารถมองข้ามความขัดแย้ง มองข้ามความเกลียดชัง มองข้ามความเป็นศัตรู เพราะการมีพระเจ้าองค์เดียวกัน มีพ่อคนเดียวกัน มีพระวิญญาณองค์เดียวกัน มีศีรษะ ผู้บังคับบัญชาคนเดียวกันคือพระเยซูคริสต์ เราสามารถรวมกันได้ กับทุกคน
ลูกา 11:9-13 9 เราบอกพวกท่านว่า จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน10 เพราะว่าทุกคนที่ขอก็ได้ ทุกคนที่แสวงหาก็พบ และทุกคนที่เคาะก็จะเปิดให้เขา11 มีใครบ้างในพวกท่านที่เป็นพ่อ ถ้าลูกขอปลาจะเอางูให้เขาแทนหรือ?12 หรือถ้าขอไข่ จะเอาแมงป่องให้เขาหรือ?13 เพราะฉะนั้น ถ้าพวกท่านเองผู้เป็นคนบาปยังรู้จักให้สิ่งดีแก่บุตรของตน ยิ่งกว่านั้นสักเท่าใด พระบิดาผู้สถิตในสวรรค์จะประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกที่ขอต่อพระองค์”
พระเยซูทรงสอนเรื่องการอธิษฐานให้กับศิษย์ของพระองค์ มีประโยคทอง คือคำว่า
…. จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่ท่าน…
การอธิษฐานนี้เป็นส่วนหนึ่งในพันธกิจฝ่าหนทางวิบาก คือการขอปัจจัยที่คริสเตียนทุกคนต้องมีเพื่อฝ่าหนทางวิบากบนโลกนี้ไปให้ได้ นั่นคือ การขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระเจ้าได้ประทานให้เมื่อเรารับเชื่อ แต่การขอนี้ คือการขอรับการเติมเต็มล้นด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ คือให้พระองค์เคลื่อนไหว ทรงนำ และสำแดงทุกสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้สั่งสอนไว้ เป็นเครื่องมือนำทางฝ่าหนทางวิบาก
พระเยซูคริสต์….พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องใช้ความรักสามมุม ได้แก่ มุมบน คือ รักพระเจ้า
2.รักพระเจ้าสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลัง
มาระโก 12:30 30 พวกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดความคิดของท่านและด้วยสุดกำลังของท่าน
พันธกิจฝ่าหนทางวิบากของพระเยซูคริสต์ ได้ให้เราใช้ความรักที่เรามีต่อพระเจ้าเป็นเครื่องนำทาง ในการดำเนินชีวิตบนโลกนี้ พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงการอยู่บนโลกนี้ด้วยการรักพระเจ้า สำแดงด้วยการรักคน รักคนคือการสำแดงว่าตนรักพระเจ้า
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ถ้าเรารักคนที่เรามองเห็นไม่ได้ แล้วเราจะรักพระเจ้าที่เรามองไม่เห็นได้อย่างไร
และรักมุมขนาน คือรัก….
3.รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง
มาระโก 12:31 31 ส่วนพระบัญญัติที่สำคัญอันดับสองคือ จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง ไม่มีพระบัญญัติอื่นใดที่สำคัญยิ่งกว่าพระบัญญัติเหล่านี้”
มีคำพูดหนึ่งกล่าวว่า ความเข้าใจเกิดจากการอธิบาย แต่ความรัก ไม่ต้องการคำอธิบาย เมื่อใดที่คุณต้องการเหตุผลที่จะรัก เมื่อนั้นคุณไม่มีความรัก
รักของคนในยุคนี้ ต้องการเหตุผลที่จะรัก (เงื่อนไข) เมื่อไม่สามารถหาเหตุผลได้ ก็จะละ (ทิ้ง)กันไป
พระเยซูคริสต์…พันธกินฝ่าหนทางวิบาก คือการไปด้วยกันกับทุกคน
ลูกา 21:35-36 35 เหมือนอย่างกับดัก เพราะว่าวันนั้นจะมาถึงทุกคนที่อยู่ทั่วพื้นแผ่นดินโลก36 แต่จงเฝ้าระวังอยู่ทุกเวลา จงอธิษฐานเพื่อพวกท่านจะมีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นนั้น และจะยืนอยู่ต่อหน้าบุตรมนุษย์ได้”
การอธิษฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงสอนให้ศิษย์ของพระองค์รักษาไว้ คือการอธิษฐานเพื่อให้มีกำลังรอดพ้นเหตุการณ์ทุกอย่าง ไม่ใช่การอธิษฐานเผื่อจะมี จะใช้ จะกิน จะอยู่ อย่างสุขสบาย นับจากวันนี้ นอกจากประเทศไทยจะไม่เหมือนเดิมแล้ว โลกนี้ ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หนทางวิบากข้างหน้า จะยิ่งต้องการแรงกำลังมากกว่าเดิม เป้าหมายคือ รักษาชีวิตภายในให้อยู่รอด อย่าสูญเสียจิตวิญญาณไป
จงอยู่ในพันธกิจฝ่าหนทางวิบากของพระเยซูคริสต์
พระเยซูคริสต์…พันธกิจฝ่าหนทางวิบาก
1.มีพระเจ้าองค์เดียว ตรีเอกานุภาพ
2.รักพระเจ้าสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลัง
3.รักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง